ความสัมพันธ์และสถานะที่ให้ต่อกัน บางครั้งคำพูดอย่าง แต่การกระทำอย่างก็ไม่ใช่แล้วนะ เช่น "ฉันต้องการสิ่งนี้ เอามาให้ฉันเดียวนี้" เมื่อคุณร้องขอ แล้วอีกฝ่ายตั้งเงื่อนไข หรือร้องขอบางอย่างกลับ เพื่อตอบสนองความต้องการของคุณ หรือเพื่อให้สิ่งนั้นอำนวยบางอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่คุณร้องขอได้ง่ายขึ้น แล้วคุณเพิกเฉย คิดว่ามันจะเป็นการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมได้จริงหรือ?
ก็เหมือนกับการที่คุณไปทำสัญญาให้เงินกู้ยืมกับใครบางคน และให้เงินเขาไปแล้ว แล้วเมื่อถึงเวลาเขาคืนเงินไม่ครบหรือไม่ให้ดอกเบี้ยตามที่ควรจะเป็นที่ระบุในสัญญา แล้วคุณไปทวงถามเขา และเขาก็ชายตามองไม่ตอบอะไร นั่นล่ะ "การเมินเฉย"
คุณแน่ใจใช่หรือไม่ว่าคุณต้องสปิริตหรืออินทิตี้เพื่อเป็นเพื่อน เป็นครู หรือเป็นครอบครัวของคุณจริงๆ ไม่ใช่ทาสรับใช้ คุณออฟเฟอร์เขาอย่างไร คุณสื่อสารและมีปฏิสัมพันธ์ตอบโต้กับเขา ตลอดจนคนรอบข้างของคุณเองแบบไหน?
หากอยากได้โอกาสคุณต้องมีปฏิกริยาตอบสนองรู้จักให้และตอบรับในสิ่งที่คุณสามารถทำได้ด้วย ไม่ว่าจะทางใด ถ้าคุณเมินเฉยต่อคำขอร้องของผู้อื่น ไม่ว่าเขาจะขอความช่วยเหลือจากคุณไม่ว่าจะในฐานะที่เขาเป็นผู้ขอให้คุณช่วย หรือเขาเป็นผู้ที่คุณร้องขอให้คุณช่วย ไม่ว่าจะเรื่องงาน เรื่องส่วนตัวของเขาเอง หรือเรื่องที่เขาอยากให้คุณทำบางอย่างเพื่อตัวคุณเองก็ตาม และในขณะเดียวกัน คือคุณขอให้เขาช่วยแล้วเขาขอให้คุณช่วยกลับเพื่อความสะดวกในการช่วยตัวคุณเอง แล้วคุณเพิกเฉย คุณคิดว่า เขาจะยังอยากช่วยคุณอยู่ไหม เมื่อใดก็ตามที่คุณรู้สึกว่า "ไม่ค่อยมีใครอยากคบคุณ/ไม่ช่วยคุณ" คุณได้ลองมองสิ่งที่ทำกับพวกเขาก่อนแล้วหรือยัง?
เงื่อนไขเวลาที่สปิริต/อินทิตี้มาทำสัญญากับคู่สัญญาก็ไม่ต่างอะไรกับการร้องขอน้ำใจกับบุคคลทั่วไป เขามาย่อมมีการร้องขอบางอย่างแล้วถ้าคุณเพิกเฉย บางอย่างก็อาจจะช้าออกไปเช่นกัน บางเผ่าเขาเลือกที่จะร้องขอเงื่อนไขบางอย่างที่ตอบสนองต่อสิ่งที่คุณร้องขอที่เขาต้องใช้ ไม่ว่าจะเป็นพลังเรียกนู้นนี่หรืออำนวยความสะดวกให้คุณ ถ้าไม่ปรับ แล้วมันจะจูนกัน หรือรับสัญญาณกันได้อย่างไร?
หรือมองว่า ถ้าเขาเป็นคนใหญ่คนโต บางคนก็ท้าทายเขาว่า ถ้าเป็นของแท้ พลังมาก พลังสูง ต้องทำนี้ๆ ให้คุณได้สิ คำถาม แล้วคุณสำคัญกับเขาขนาดไหนหรอ ถึงต้องตามใจหรือทำให้เปย์ให้ทุกอย่าง กลับกันพอถึงเวลาคุณกลับให้อะไรก็ไม่รู้ที่เขาไม่ได้ต้องการ เช่น สื่อใหม่ (เอามาทำไมของเดิมก็ยังดีอยู่), เทียนจุดวางแปะๆ (เอาทำไมไม่ได้กินไฟ) ฯลฯ
ดังนั้น..หากเขาอยู่ในทุกสถานะสำหรับคุณ แล้วคุณจะปฏิบัติตนต่อเขาอย่างไร? การวางตน การรับรู้สถานะ การให้เกียรติกัน และการให้เพื่ออยู่ร่วมกันอย่างสันติ ในการแลกเปลี่ยนพลังงาน ความรู้ และสิ่งต่างๆ ที่เหมาะสม
By VMM 3/7/64

#ความใส่ใจต่อตัวเองและผู้อื่น
เขียนเมื่อ · 11 กรกฎาคม เวลา 22:44 น.
ผู้ที่ไม่เคยสังเกตตัวเองหรือใส่ใจรายละเอียดในชีวิตประจำวันมักอาจเข้าข้างตัวเองและละเลยสัญญาณที่แท้จริงไป ซึ่งในส่วนที่เป็นสัญญาณที่แท้จริงนั้น คนที่เป็นจะจับพลังได้อยู่แล้ว เขาเพียงแต่อาจจะไม่ตอบรับและไม่ปฏิเสธว่าคุณใช่หรือไม่ เพราะเขาอาจมองว่าการรับรู้ของคุณมีจุดที่ผิดพลาด ในขณะที่คนที่ไม่เป็นเลย ย่อมกล่าวหาเพื่อทำให้สูญเสียความมั่นใจจากข้อเท็จจริงที่คุณมี
การโกหกมักมีสัญญาณ และหลักฐานก็จะถูกเปิดเผยออกมา อาจจะก่อน หลัง หรือในทันที เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่ามโนหรือไม่มีหลักฐาน แต่มันไม่ใช่เรื่องที่จะต้องพูดพร่ำให้มากมาย การเช็คด้วยตนเอง ตลอดจนบุคคลที่สาม(ที่ไม่รู้อะไรมาก่อนเลย) เพื่อป้องกันการอคติ เข้าข้างตนเองเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการตรวจสอบสัญญาณ
การฝึกไม่ใช่แค่การจดจ่ออยู่เพียงสมาธิ แต่คือการใส่ใจรายละเอียด ยกตัวอย่างเช่น การส่งการบ้าน คุณเคยเห็นโพสต์ขำๆ ว่า "ครูจำลายมือได้นะ อย่าทำการบ้านแทนลูก" หรือครูสอนศิลปะที่จำลายเส้นได้ และบอกว่า "อย่าทำการบ้านให้น้องสิ ต่อให้เธอแค่ร่างเส้นให้แล้วให้น้องตัดเส้นเอง ครูก็ไม่รับนะ" ฯลฯ
คำถามคุณคิดว่าครูโง่หรือแค่ทำส่งๆ ไปกัน? การบ้านมีไว้สำหรับตรวจความเข้าใจในบทนั้นๆ หรือเพื่อฝึกตัวคุณเอง ถ้าคิดจะลอกเขามา ก็ไม่ต้องเรียนตั้งแต่ต้น เพราะการลอกการบ้านมันก็แสดงให้เห็นอยู่แล้วว่าคุณไม่เข้าใจ
แล้วการบ้านของร้านนี้ คือ การบ้านที่ให้เพื่อให้คุณเข้าใจตนเอง และฝึกฝนเพื่อตัวคุณเอง แล้วคุณลอกการบ้านมาส่ง คุณคิดว่ามันจะทำให้คุณเข้าใจตัวเองไหม หรือคุณโกหกตัวเองว่าคุณกำลังเป็นคนอื่น แต่คำตอบของคุณก็จะกลายเป็นหลักฐานที่มัดตัวเองว่า มันย้อนแย้งกันนะ เราว่าเราตรวจอย่างใส่ใจนะ แต่สิ่งที่คุณทำกลับมาเวลาที่เราร้องขอ มันแสดงให้เห็นถึง "การละเลย"
การที่คุณละเลยคนอื่นทั้งที่มันเป็นไปเพื่อประโยชน์ของตัวคุณเองจะเป็นอย่างไร ก็เช่น โดนงูกัดมา วิ่งไปบอกหมอว่า "โดนงูเห่ากัด" ถ้าหมอเชื่อคุณฉีดให้เลย แล้วสักพักเพื่อนบ้านวิ่งมาชูงูเขียวห่างไหม้ บอกคนไข้โดนตัวนี้กัดคับหมอ ตายไหมล่ะ แล้วคุณจะโทษใครได้ หมอหรอ? นี้ล่ะผลของการละเลยหรือไม่ใส่ใจรายละเอียด
การไม่ใส่ใจรายละเอียดมักเป็นจุดเริ่มต้นของความประมาทและอุบัติเหตุ รวมถึงความผิดพลาดในชีวิตประจำวัน เช่น ทำงานผิดเจ้านายด่า ทำบัญชี พิมพ์ 0 ตกไปตัว จาก 16,000 เหลือ 1,600 ชิบหายไหมล่ะ ซึ่งแน่ล่ะเวลาที่โดนด่า คนที่ทำผิดยอมมีความไม่พอใจลึกๆ อยู่แล้ว เช่นว่า เรื่องแค่นี้มันแก้ได้ ด่าแรงไปไหม แต่บางเรื่องมันคือชุ่ยนะคะ เช่น รู้ทั้งรู้ว่าตัวเองติดโควิท ก็ยังออกไปกินข้าวในห้าง ฯลฯ
ทำไมเราถึงบ่นเรื่องนี้ มันคือความสำคัญในการฝึกค่ะ ไม่ว่าจะเวทมนตร์สายไหน (หรือแม้แต่ชีวิตทางโลก) โดยเฉพาะสายธรรมชาติ ไม่ใช่แค่การจดจ่อ เชื่อมั่น แต่รวมถึงการสังเกตและใส่ใจ โดยเฉพาะสายฮิลลิ่ง คุณต้องรู้จักสังเกตรายละเอียดอาการป่วยคนไข้ มันไม่ใช่แค่ยื่นมือออกไปเสกวิ้งค์หายเลย หมอยังต้องถามอาการเบื้องต้น ซักประวัติคนไข้ก่อนเลยไหมถึงจะประเมิน นั้นคือ ต้องใส่ใจ สังเกตและวิเคราะห์รายละเอียดต่างๆ จึงจะประเมินผลได้
สาย spiritual เองก็ไม่ต่างกัน ยิ่งต้องไวต่อสภาวะความถี่ต่างๆ และศึกษาอย่างละเอียด โดยเฉพาะผู้ที่ไม่มีพรสวรรค์หรือพึ่งตื่น ไม่ใช่มโนแล้วก็บอกว่าคนนั้นคนนี้ติดต่อฉัน ยิ่งคนที่เคยมาจากวิทยาศาสตร์จ๋า บางคนแทบเป็นบ้าในช่วงแรกเลยด้วยซ้ำ ซึ่งไม่มีใครอยากโดนชี้หน้าว่าบ้าหรอก ถ้าไม่ได้คิดจะหลอกใครตั้งแต่ต้น
หลายคนมักเลือกเก็บตัว จนกว่าจะหาคนที่ไว้ใจได้หรือมีอาการแบบเดียวกัน ทว่าโซเชียลก็ไม่ได้นำพาหรือบอกได้ว่าคนๆนั้นจะเป็นเช่นเดียวกับคุณจริงๆ กระทั่งเจอหน้ากันทุกวันบางคนยังดูกันไม่ออกเลย ยามเมื่อละเลยหรือไม่ได้สังเกตหรือใส่ใจจุดเล็กๆ ซึ่งมันอาจเปลี่ยนความคิดหรือชีวิตคุณไปก็เป็นได้
By VMM 11/7/64
ภาพประกอบ : เพื่อนส่งต่อๆ มา ขอบคุณและขออนุญาตเจ้าของภาพไว้ในที่นี้ด้วยค่ะ (ภาพสวยดีขออนุญาตนำมาใช้ประกอบค่ะ)
