สบู่
เกิดจากการทำปฏิกิริยาทางเคมีระหว่างสารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์กับน้ำมัน ซึ่งอาจจะเป็นน้ำมันพืชหรือน้ำมันสัตว์ก็ได้ กระบวนการนี้เรียกว่า saponification ที่ทำให้ผลผลิตที่ได้กลายเป็นของแข็งลื่น มีฟอง ซึ่งเป็นส่วนผสมของสบู่ 5 ส่วน และกลีเซอรีน 1 ส่วน ใช้ทำความสะอาดขจัดคราบสิ่งสกปรก
มีเรื่องเล่าต่อๆ กันมาว่า การค้นพบสบู่นั้นเป็นการค้นพบโดยบังเอิญ ในยุคโรมันที่มีการบูชายัญสัตว์บนแท่นบูชาที่ทำด้วยไม้ ซึ่งแท่นบูชานี้ตั้งอยู่บนเนินเขา เมื่อมีการบูชายัญสัตว์และมีการเผาบนแท่นบูชา ไขมันสัตว์ก็ผสมกับขี้เถ้า เมื่อฝนตกลงมาก็เกิดเป็นก้อนสีขาว ไหลไปตามลำธารที่อยู่เชิงเขา เมื่อชาวบ้านนำเสื้อผ้ามาซักที่ลำธารหลังจากฝนตกก้อนขาวๆ นี้จะช่วยให้ซักผ้าได้ง่ายขึ้น สะอาดขึ้น จากการค้นพบนี้เองจึงมีการผลิตสบู่สืบต่อกันมา
กระบวนการผลิตสบู่ จำเป็นต้องระมัดระวัง ด่างโซเดียมไฮดรอกไซด์ หรือโซดาไฟ (NaOH) ซึ่งทำให้ระคายผิวเมื่อสัมผัส อย่างไรก็ตาม เมื่อด่างทำปฏิกิริยาสะเทินกรดไขมันในน้ำมัน ซึ่งเรียกปฏิกิริยานี้ว่าSaponification ผลที่ได้ก็จะได้สบู่ ที่ปลอดภัยต่อผู้ใช้
ส่วนประกอบของสบู่ มีดังนี้
1.ไขมันหรือน้ำมัน (จากพืชหรือสัตว์)
2. ด่าง
3. น้ำ
4. องค์ประกอบเสริม เช่น น้ำมันสะกัดจากสมุนไพรต่างๆ
1. ไขมันหรือน้ำมัน
ไขมันแต่ละชนิดประกอบด้วยกรดไขมันมากกว่า 1 ชนิด ตามธรรมชาติกรดไขมันเหล่านี้จะไม่อยู่อิสระ แต่รวมตัวกับสารกลีเซอรอลในไขมันอยู่ในรูปกลีเซอไรด์ เมื่อด่างทำปฏิกิริยากับกรดไขมัน กรดไขมันจะหลุดออกจากกลีเซอไรด์ รวมตัวเป็นสบู่ สารที่เกาะอยู่กับกรดไขมันก็จะหลุดออกมาเป็นกลีเซอรีน ดังปฏิกิริยา
กรดไขมันแต่ละชนิดเมื่อรวมตัวกับด่างแล้ว จะให้สบู่ที่มีคุณสมบัติแตกต่างกัน เช่น กรดลอริก (lauric acid) มีมากในน้ำมันมะพร้าว เป็นกรดไขมันที่ทำปฏิกิริยากับด่างแล้วให้สารที่มีฟองมาก เป็นต้น จากการศึกษาคุณสมบัติของสบู่ที่ได้จากไขมันต่างชนิดกัน พบว่า
1. น้ำมันมะพร้าว สบู่ที่ผลิตได้มีเนื้อแข็ง กรอบ แตกง่าย สีขาวข้น มีฟองมากเป็นครีม ให้ฟองที่คงทนพอควร เมื่อใช้แล้วทำให้ผิวแห้ง
2. น้ำมันปาล์ม ให้สบู่ที่แข็งเล็กน้อย มีฟองน้อย ฟองคงทนอยู่นาน มีคุณสมบัติในการชะล้างได้ดี แต่ทำให้ผิวแห้ง
3. น้ำมันรำข้าว ให้วิตามินอีมาก ทำให้สบู่มีความชุ่มชื้น บำรุงผิว ช่วยลดความแห้งของผิว
4. น้ำมันถั่วเหลือง เป็นน้ำมันที่เข้าได้ดีกับน้ำมันอื่น ให้ความชุ่มชื้น รักษาผิว แต่เก็บไว้ได้ไม่นาน มีกลิ่นหืนง่าย
5. น้ำมันงา เป็นน้ำมันที่ให้วิตามินอี และให้ความชุ่มชื้น รักษาผิว แต่มีกลิ่นเฉพาะตัว
6. น้ำมันมะกอก ทำให้ได้สบู่ที่แข็งพอสมควร ใช้ได้นาน มีฟองเป็นครีมนุ่มนวลมาก ให้ความชุ่มชื้น ไม่ทำให้ผิวแห้ง
7. น้ำมันละหุ่ง ช่วยทำให้สบู่มีฟองขนาดเล็กจำนวนมาก ทำให้สบู่เป็นเนื้อเดียวกันดี สบู่ไม่แตก ทำให้สบู่มีความนุ่มเนียน และช่วยให้ผิวนุ่ม
8. น้ำมันเมล็ดทานตะวัน ทำให้สบู่นุ่มขึ้น แต่ฟองน้อย
9. ไขมันวัว จะได้สบู่ที่มีเนื้อแข็งสีขาวอายุการใช้งานนานมีฟองน้อย ทนนาน แต่นุ่มนวล
10. ไขมันหมู จะได้สบู่ที่มีเนื้อแข็ง อายุการใช้งานนาน ฟองน้อย แต่ทนนาน
11. ขี้ผึ้ง ได้สบู่เนื้อแข็ง อายุการใช้งานนาน ฟองน้อย แต่ทนนาน
12. ไขมันแพะ ได้สบู่เนื้อนุ่ม ได้ความชุ่มชื้นแก่ผิว ผิวนุ่มเนียน
2. ด่าง
ด่างที่ใช้มี 3 ชนิด คือ
1. ขี้เถ้า ใช้ในการผลิตสบู่ในสมัยโบราณ ปัจจุบันมีการพัฒนาใช้เป็นด่างแทน
2. โซดาไฟ (Sodium hydroxide) ทำปฏิกิริยาได้สบู่ก้อนแข้ง
3.โปตัสเซี่ยม ไฮดรอกไซด์ (Potassium hydroxide) ทำปฏิกิริยาได้สบู่เหลว
การผลิตสบู่จำเป็นต้องควบคุมคุณภาพ โดยการวัด pH (การวัดค่าเป็นกรดเป็นด่าง) ทุกครั้งที่ผลิตหลังจากสบู่แข็งตัวแล้ว
การคำนวณปริมาณด่างที่ใช้ในการผลิตสบู่ เป็นสิ่งสำคัญมาก จากการศึกษาค้นคว้าของนักวิทยาศาสตร์ พบว่าpH ของสบู่ควรอยู่ระหว่าง 8 - 10 เมื่อผิวหนังสัมผัสกับสบู่แล้วล้างออกผิวหนังสามารถปรับสภาพได้เหมือนเดิม โดยไม่รู้สึกระคายเคือง ดังนั้น การทำปฏิกิริยาระหว่างกรดไขมันและด่าง จึงต้องทำให้ด่างและไขมันหมดพอดี หรือให้มีไขมันเหลืออยู่เล็กน้อย อย่าให้ด่างเหลือภายหลังทำปฏิกิริยา เพราะด่างจะทำอันตรายต่อผิวหนัง แต่ในทางปฏิบัติมักคำนวณให้ปริมาณด่างที่ใช้น้อยกว่าความเป็นจริง เพื่อทำให้เหลือไขมันประมาณร้อยละ 5 - 8 หลังทำปฏิกิริยา ดังตารางที่ 1
จากตารางที่ 1 แสดงปริมาณด่างที่ใช้ต่อไขมัน 100 กรัม ภายหลังทำปฏิกิริยาจะมีไขมันเหลือประมาณร้อยละ5 - 8 อย่างไรก็ดี อาจมีความผิดพลาดเนื่องจากการใช้มาตราชั่ง ตวง วัด และปัจจัยการผลิตอื่น ๆ หรือวิธีการผลิตอื่น ที่ทำให้ปริมาณด่างเหลือมากกว่าที่คำนวณไว้ จึงจำเป็นต้องควบคุมคุณภาพ โดยการวัด pH ทุกครั้งที่ผลิตและหลังจากสบู่แข็งตัวแล้ว
3.น้ำ
ปริมาณน้ำที่ใช้ในการทำปฏิกิริยาเป็นปัจจัยที่สำคัญ เพราะหากใช้น้ำมากต้องทิ้งไว้หลายวันสบู่จึงจะแข็งตัว หรือไม่แข็งเลย น้ำน้อยเกินไป อาจทำให้ปฏิกิริยาไม่สมบูรณ์ หากใช้ไขมันแต่ละชนิดรวมแล้ว 100 กรัม ควรใช้น้ำ 35 - 38 เปอร์เซ็นต์ หรือเพิ่มสัดส่วน
4. องค์ประกอบเสริมที่เพิ่มเติมในสบู่
4.1 น้ำหอม
4.2 สารกันหืน
4.3 สารเพิ่มคุณภาพสบู่
4.4 สมุนไพร
กลีเซอรีนเหลว มีโครงสร้างแตกต่างกันกับเบสกลีเซอลีน
กลีเซอรีน สูตรทางเคมี C3H5(HO)3 เป็นของเหลวที่ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น มีความหนืดรสหวาน จุดเดือดสูง
by product จากกระบวนการทำไบโอดีเซล มีคุณสมบัติในการดูดความชื้นได้ดี และเป็นยาฆ่าเชื้อที่ดีซึ่งเป็นผลดีต่อผิวพรรณ คล้ายฟิลม์ที่เกาะที่ผิวหนัง
ข้อแตกต่างของสบู่กลีเซอรีน และ สบู่ทั่วไป
คือ สบู่ทั่วไปจะทำให้ผิวแห้ง หยาบกร้าน ล้างออกยาก ทำให้เกิดสิ่งอุดตันในรูขุมขน
ส่วน สบู่ที่ทำจากกลีเซอรีน นั้นมีข้อดีในการชำระล้าง และ ช่วยให้ผิวคงความชุ่มชื่นรักษาปริมาณน้ำในผิวให้สมดุล
กว่าจะมาเป็นสบู่ธรรมชาติหอมๆ ในทุกขั้นตอนเราใส่ใจ เลือกคัดสรร ส่วนผสมที่นำมาใช้มาจากธรรมชาติ ปราศจากสารเคมี และวัตถุกันเสีย ส่วนหนึ่งในนั้นมีอะไร และให้ประโยชน์อย่างไรบ้างมาดูกันค่ะ
ส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์
Glycerin Soap
What is glycerin soap
Glycerin soap is natural soap which main ingledieance is glycerin. Properties of glycerin are high moisturize and good in deep cleaning, glycerin is the result of sponification reaction and occurred around 20% so, it’s rather expensive.When we place glycerin in bath room, Glycerin will absorb humid in surround it so we can see drop of water in surface of glycerin, when we use glycerin soap glycerin which coated in our skin will absorb humid surround it so, our skin will moisturize.
How to use and maintain.
- Do not place them in the direct sunlight. Or high temperatures.
- The finish should not be placed in a container with water. Because the soap is melted into liquid soap directly exposed to air. Cause small droplets scattered around the island soap or soap may be opaque. It is not unusual in any way. Soap is not bad. However, due to the hygroscopic properties of glycerol itself. Which still use the soap as usual.
สบู่กลีเซอรีนคืออะไร
สบู่กลีเซอรีน คือ สบู่ธรรมชาติที่ใช้วัตถุดิบจากกลีเซอรีนเป็นหลักซึ่งเป็นสารที่มีความชุ่มชื้น เป็นสารที่ได้จากปฏิกิริยาการเกิดสบู่ (Sponification) เพียง20%เท่านั้น จึงค่อนข้างมีราคาแพง มีคุณสมบัติในดูดความชื้นและชำระล้างได้ดี เมื่อทิ้งไว้กลางอากาศหรือในห้องน้ำ สบู่จะดูดความชื้นจากอากาศ ทำให้มีหยดน้ำมาเกาะที่ผิวสบู่ เมื่อเราใช้สบู่กลีเซอรีน กลีเซอรีนที่ผิวกายจะดูดความชื้นจากอากาศทำให้ผิวเราชุ่มชื่นและสะอาดโดยไม่ต้องทาครีมบำรุงผิวเพิ่ม รวมกับสมุนไพรที่เราเพิ่มเข้าไปที่มีคุณสมบัติบำบัดผิวและบำรุงผิวตามแต่ประเภทของสมุนไพรซึ่งจะทำให้เรามีสุขภาพผิวที่ดี นอกจากนี้เรายังเติมกลิ่นจากน้ำมันหอมระเหยบริสุทธิ์100%จากธรรมชาติซึ่งไม่เพียงแต่ให้ความหอมเพียงอย่างเดียว แต่ให้คุณสมบัติทางด้านอโรมาอีกด้วย
วิธีใช้ และการเก็บรักษา
- อย่าวางไว้ในที่ที่มีแสงแดดส่องถึงโดยตรง หรือที่ที่มีอุณหภูมิสูง
- ใช้ เสร็จแล้วไม่ควรวางไว้ในภาชนะที่มีน้ำขัง เพราะสบู่จะละลายเป็นของเหลวเมื่อสบู่สัมผัสกับอากาศโดยตรง อาจทำให้เกิดหยดน้ำเล็กๆ เกาะกระจายอยู่ทั่วสบู่หรือสบู่อาจขุ่น ซึ่งไม่ใช่ความผิดปกติแต่อย่างใด สบู่มิได้เสีย แต่เกิดขึ้นเนื่องจากคุณสมบัติในการดูดความชื้นของกลีเซอรีนเอง ซึ่งยังคงใช้สบู่นั้นได้ตามปกติ
Carrier Oil
น้ำมันธรรมชาติ
Cocos nucifera (Coconut Oil)
น้ำมันมะพร้าว เป็นน้ำมันที่มีคุณค่าโดยเฉพาะโปรตีนและไขมันสูง นิยมนำมาใช้ทาผิวพรรณเพื่อช่วยป้องกันผิวจากแสงแดด ช่วยให้ความชุ่มชื่นแก่ผิวหนัง บำรุงผิวหนังให้กระชับตึง ดูมีน้ำมีนวล ไม่เหี่ยวย่น หรือนำไปใช้นวดตัว จะช่วยในการปรับสภาพผิวหนัง กระตุ้นการทำงานของระบบหมุนเวียนโลหิตและระบบประสาท สามารถใช้หมักผมหรือทาผมเพื่อทำให้เส้นผมดกดำเป็นเงางาม ช่วยป้องกันปากแห้งหรือใช้แทนลิปมัน ช่วยบำรุงริมฝีปากให้นุ่มชุ่มชื่นและยังใช้รักษาผิวหนังต่าง ๆ ได้ เช่น ใส่แผลเปื่อย แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ช่วยลดอาการพุพอง ฯลฯ
Coconut Oil consists more than 90% of saturated fat. The benefits of Coconut oil include hair care, skin care, stress relief, maintaining cholesterol level, weight loss, anti oxidant, anti-bacterial. The oil has essential nutrients and fatty acids which are popularly used in the skin care and cosmetic industry.[/color]
Olea Europaea (Olive oil)
น้ำมันมะกอก ประกอบไปด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัว ชนิด Monounsaturated Fatty Acids และPolyunsaturated Balance วิตามินอี วิตามินเอ โปรตีนและสารแอนตี้ออกซิแดนท์ น้ำมันมะกอกยังสามารถนำมาใช้เพื่อการดูแลผิวพรรณ ซึ่งมีประสิทธิภาพในการฟื้นฟูสภาพผิว เนื่องจากตัวออยล์มีโครงสร้างคล้ายน้ำมันหล่อเลี้ยงผิวจึงเข้ากับผิวได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้น้ำมันมะกอกยังสามารถช่วยให้หัวสิวอ่อนนุ่มลง ย่นระยะเวลาการอักเสบของสิวให้สั้นลงและสามารถป้องกันรังสียูวีบีได้อีกด้วย ประโยชน์โดยทั่วไปของน้ำมันมะกอก- ปรับสภาพเส้นผมได้อย่างล้ำลึก โดยการนำไปหมักผม- ใช้ผสมทำเป็นสครับขัดผิว สครับที่ใช้ขัดผิวต่าง ๆ นั้นมักจะมีน้ำมันมะกอกเป็นส่วนผสมสำคัญเสมอ เพราะน้ำมันมะกอกมีคุณสมบัติที่ช่วยให้ผิวนุ่มชุ่มชื้นได้เป็นอย่างดี- ช่วยบำรุงหนังหุ้มเล็บ โดยการทาลงบริเวณหนังหุ้มเล็บหรือบริเวณที่ต้องการเป็นพิเศษ- ชำระล้างเครื่องสำอางบนใบหน้า แต่ต้องระวังเป็นพิเศษเวลาที่ใช้ทำความสะอาดเครื่องสำอางรอบดวงตา- ใช้แทนครีมโกนขน การใช้น้ำมันมะกอกแทนครีมโกนขนนับเป็นทางเลือกที่ดี เนื่องจากไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้และยังทำให้ผิวนุ่มชุ่มชื้นขึ้นได้อีกด้วย
Vitis vinifera (Grape Seed Oil)
น้ำมันเมล็ดองุ่น ประกอบด้วยวิตามิน E ,ไตรกลีเซอไรด์และกรดไขมัน โดยเฉพาะกรดไขมันไม่อิ่มตัว เช่น linoleic acid มีประมาณ 72-76%(w/w) ซึ่งสูงกว่าน้ำมันจากเมล็ดพืชชนิดอื่นๆ เช่น safflower, sunflower และ corn oils ด้วยส่วนประกอบดังกล่าวทำให้น้ำมันจากเมล็ดองุ่นมีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีคุณสมบัติสามารถดูดซับทางผิวหนังได้อย่างรวดเร็วและล้ำลึก เหมาะสำหรับคนผิวมัน ใช้ทำน้ำมันนวดเนื้อบางเบาได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยของผิวพรรณไม่ให้เหี่ยวย่น ช่วยบำรุงผิวให้แลดูอ่อนเยาว์ ยืดอายุของเซลล์ผิว ช่วยซ่อมแซมและฟื้นฟูเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพให้แข็งแรง ทำให้ผิวพรรณกระชับขึ้น น้ำมันจากเมล็ดองุ่นยังมีปริมาณแทนนิน (tannins) สูงกว่าน้ำมันจากเมล็ดพืชชนิดอื่นๆ ซึ่งมีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ บำรุงผิว จากการวิจัยพบว่าน้ำมันสกัดจากเมล็ดองุ่นนั้น มีสาร Super-Anti Oxidant มีประสิทธิภาพสูงกว่าวิตามินซี 20 เท่า ใช้นวดหน้า นวดตัว (ใช้แทนครีมหรือโลชั่นได้) หรือใช้ผสมกับครีม โลชั่น โดยผสมขณะที่จะใช้ ผสมได้ตามต้องการ
Grape seed Oil is made from the seeds of grapes. It is believed that actual production of grape seed oil began as early as the 16th century. Low in saturated fats and rich in vitamins and minerals, it is used in cosmetics, soaps and most recently has become a popular cooking oil.Due to high linoleic acid content, Grape seed Oil has good moisturizing and nourishing properties. The light green oil contains essential fatty acids, vitamins, minerals, protein and GLA.Grape seed Oil leaves your skin soft and smooth without feeling greasy making it one of the most commonly used oils in massage products. It is easily absorbed into the skin and is a good oil for acne and oily skin.
Prunus dulcis (Sweet Almond Oil)
น้ำมันสวีทอัลมอลด์ คุณสมบัติช่วยคืนสมดุลให้ผิว สามารถเก็บกักความชุ่มชื้นให้แก่ผิวเหมาะสำหรับทุกสภาพผิว ลดการระคายเคือง การคัน อักเสบ โดยเฉพาะผิวที่แห้งและแพ้ง่าย ใช้เป็นน้ำมันพื้นฐานโดยนำน้ำมัน หอมระเหยชนิดอื่นฯมาผสมกันได้ดี ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ เมื่อผสมกับน้ำมันจมูกข้าวสาลี 10% จะช่วยให้เก็บได้นานขึ้นน้ำมันสวีทอัลมอนด์ เป็นน้ำมันนวดผิวเนื้อนุ่มที่บำรุงผิวได้ดี ช่วยให้ผิวเนียนนุ่มชุ่มชื่น ใช้กับผิวที่แห้ง ซึ่งน้ำมันชนิดนี้จะมีสารป้องกันแสงแดดจากดวงอาทิตย์ถึง 25% แต่ไม่ควรใช้เพื่อกันแดดโดยตรง ควรใช้น้ำมันร่วมกับครีมหรือโลชั่นมีวิตามินที่จำเป็นหลายอย่างเช่นวิตามิน A, B1, B2, B6 และ E ทำให้มีประโยชน์มากสำหรับการรักษาสภาพผิว วิตามินทั้งหมดเหล่านี้ช่วยส่งเสริมการให้ผิวสมบูรณ์ตลอดจนการเจริญเติบโตของเส้นผมห้ามใช้ในคนที่มีอาการแพ้ถั่ว
Properties: Many aromatherapists use the sweet almond oil as the base or carrier oil. This oil is pale yellow in color and has a sweet and nutty aroma. The fact that it contains several essential vitamins such as vitamin A, B1, B2, B6 and E makes it very useful for treating skin conditions. All these vitamins rejuvenate the skin and promote hair growth.Several skin disorders can also be prevented and treated by using sweet almond oil.Caution: It can be used by all except those who have a nut allergy.
Prunus Armeniaca (Apricot Kernel Oil)
น้ำมันแอปปริคอท - Cold Pressed
น้ำมันเเอปปริคอท มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับ Sweet Almond และจัดเป็นที่เป็นน้ำมันที่เหมาะกับผิวบอบบางและแพ้ง่ายมากที่สุดในบรรดาน้ำมันทุกชนิด สามารถซึมซาบสู่ผิวได้อย่างรวดเร็วและช่วยป้องกันการระเหยของน้ำในผิว โดยสามารถใช้ทาผิวเด็กทารกเเละผิวบริเวณรอบดวงตาได้ บางเบาไม่เหนียวเหนอะหนะ ทำให้ผิวนุ่มเนียนขึ้น มีไทกลีเซอรีนกลุ่มเดียวกับน้ำมันประเภทอโวคาโด น้ำมันมะกอกและน้ำมันงา สามารถซึมซาบเข้าสู่ผิวได้อย่างรวดเร็ว มีวิตามินอีสูง ทำให้ผิวยืดหยุ่นได้ดีและช่วยปรับสภาพผิวให้ดียิ้งขึ้น ช่วยป้องกันการระเหยของน้ำในผิวอีกทั้งมีคุณสมบัติช่วยลดริ้วรอยจากสิวเเละรอยเเผลเป็นให้จางลง
Apricot has high minerals contents such as vitamin A which is very helpful in the removal of skin pimples and other skin disorder. Lycopene substance in Apricot oil can help prevent cancer and hear diseases. Vitamin E in Apricot oil hydrates skin. Suitable for all skin types.
งาและน้ำมันงาบริสุทธิ์ 100%
Sesame and Virgin Sesame Oil 100% Cold Pressed
งาซึ่งได้รับฉายาว่าเป็น หยกแห่งเอเชีย นิยมบริโภคกันอย่างแพร่หลายประเทศจีน ญี่ปุ่นและอินเดียมายาวนาน โดยเชื่อว่ามีสรรพคุณเป็นยาอายุวัฒนะและบำรุงกำลัง ในงามีสารสำคัญ คือ เซซามอลและเซซาโมลิน ซึ่งมีคุณสมบัติยับยั้งการเกิดออกซิเดชั่นของไขมัน เพิ่มฤทธิ์การทำงานของวิตามินอีและทำงานร่วมกับวิตามินอีในการต้านเกิดสารอนุมูลอิสระ ช่วยปรับฮอร์โมนเอสโตรเจนสำหรับสตรีวัยทอง นอกจากนี้ยังมีโอเมก้า 3 และ 6 ซึ่งช่วยบำรุงสมอง และป้องกันความเสื่อมของสมองและระบบประสาท
ประโยชน์ของงา
1. ขยายหลอดเลือด
2. ช่วยลดความดันเลือด
3. ป้องกันเกล็ดเลือด ( Platel ) ที่จะเกาะตัวกันเป็นลิ่ม หรือที่เรียกว่าคล็อท ( Clot )
4. ยับยั้งการสร้างโคเลสเตอรอลในร่างกาย ฮอร์โมน โพรัสตาแลนดิน – อี – วัน จะช่วยยับยั้งไม่ให้สร้างโคเลสเตอรอลมากเกินไป
5. ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างเม็ดเลือดขาว ชนิดเรียกว่า ที – เซลล์ ( T – cell ) ซึ่งเม็ดเลือดขาวชนิดนี้เป็นภูมิคุม้กันโรคตัวสำคัญของร่างกาย
6. ป้องกันมะเร็ง
7. งามีวิตามิน อี ซึ่งเป็นอายุวัฒนะ ทำให้ร่างกายสดชื่น ดูหนุ่มสาว และแก่ช้าลง
8. งามีสารที่ช่วยป้องกันโรคหวัด
9. งายังมีเลซิติน ที่มีความสำคัญมากต่อความสมบูรณ์ของร่างกาย เพราะเลซิตินเป็นส่วนประกอบไขมันที่สำคัญมากในเซลล์ประสาท สมอง หัวใจ ไต และต่อมไร้ท่อ
น้ำมันงาบริสุทธิ์ 100%
Virgin Sesame Oil 100%
สกัดจากงาดำด้วยกรรมวิธีสกัดเย็น ไม่ใช้สารเคมี และความร้อนในขบวนการผลิต คงคุณค่าของงาดำอย่างครบถ้วน
ประโยชน์ของน้ำมันงาบริสุทธิ์สกัดเย็น
- เสริมสร้างสุขภาพ ช่วยลดคลอเรสเตอรอล บำรุงประสาท แก้เหน็บชา
- เสริมสร้างกระดูกและฟัน ช่วยให้เด็กวัยเจริญเติบโตมีกระดูกที่แข็งแรง เสริมแคลเซียมให้สตรีวัยทอง
- ลดการหมักหมมในช่องท้อง ช่วยระบายท้อง
- ใช้ทาผิวหนังและใบหน้าก่อนนอนช่วยให้ผิวหนังชุ่มชื้นผิวพรรณผุดผ่องตึงขึ้น ลดรูขุมขนบนใบหน้า ป้องกันการแก่ตัวของผิวหน้า ต้านอนุมูลอิสระ
- ใช้ชโลมบริเวณที่เข้าเฝือกต่อกระดูก ช่วยให้กระดูกต่อประสานกันได้ดี ทานวดเบาๆ บริเวณหัวเข่า ข้อต่อ ช่วยบำรุงและบรรเทาอาการปวดเข่า กระดูก ไขข้อ เส้นเอ็น ปวดเมื่อย เคล็ดขัดยอก
- ใช้ทาเส้นผมและหนังศรีษะช่วยให้เส้นผมนุ่มสลวย หนังศีรษะไม่แห้ง ช่วยรักษาเหา หรือใช้หมักผมก่อนสระผม 30-60 นาที
- มีสรรพคุณต้านแบคทีเรีย รา และไวรัส ลดการอักเสบ ลดการเกิดการอุดตันของหลอดเลือด (Atherosclerosis) ต้านการเกิดมะเร็งและเบาหวาน
- ใช้ทาผิวผู้เป็นโรคสะเก็ดเงินหรือเรื้อนกวาง (Psoriasis) และผู้มีผิวแห้ง ใช้ทาผิวและเคลือบเส้นผมเพื่อป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลตจากแสงแดดและลม
- ช่วยให้นอนหลับ และลดความกระวนกระวาย ควบคุมการเจริญเติบโตของเซลล์ ให้เป็นปกติ
- ใช้ทาให้ทั่วตัวก่อนว่ายน้ำเพื่อป้องกันการเกิดระคายเคือง จากสารคลอรีนที่ผสมไว้ในสระว่ายน้ำ น้ำมันงาดูดซึมเร็วไม่ติดค้างอยู่บนผิว
- ผสมน้ำชำระส่วนปกปิดจะช่วยป้องกันโรคติดเชื้อที่ทำให้เกิดอาการคัน (Vaginal yeast infections) และเนื่องจากน้ำมันงามีสารที่มีผลคล้ายฮอร์โมนเพศหญิง จึงมีผู้ใช้ทาเฉพาะที่เพื่อช่วยลดการเปลี่ยนแปลง เช่นการเกิดการบางตัวของผิวที่อาจทำให้มีอาการระคายเคืองเมื่อฮอร์โมนหญิงลดลง
- สำหรับเด็กที่เป็นหวัดและติดหวัดบ่อย ใช้น้ำมันงาเช็ดภายในผนังจมูกเล็กน้อย จะช่วยลดการติดเชื้อที่มาเข้าสู่ร่างกายได้
- เหยาะอาหารหลังจากปรุงเสร็จแล้ว จะช่วยลดไขมันในเลือด พร้อมเสริมคุณค่าทา โภชนาการได้อย่างดี