วันนี้มาด้วยเรื่องทอง
อันเนื่องจากมีคนถามมาว่า
ทอง เป็นสื่อที่รับพลังได้ดีที่สุดจริงหรือไม่?
ทองจริง แท้ ปลอม ดูยังไง?
ตอบ รับพลังได้ดีที่สุดหรือไม่ อันนี้ขึ้นอยู่กับความเชื่อส่วนบุคคลค่ะ และโดยส่วนตัวที่ทดลองมาแล้วนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับโลหะ หรือวัตถุที่ใช้ในการทำสื่อค่ะ สิ่งสำคัญที่จะทำให้พลังดี หรือเชื่อมต่อได้ดีนั้น ข้อย้ำอีกครั้งว่า ไม่เกี่ยวกับวัตถุ แต่ขึ้นอยู่กับ
1. เจตนารมณ์ หรือสภาพจิตที่แท้จริงของผู้อัญเชิญ หรือสร้างสื่อเครื่องรางค่ะ ถ้าคนทำมีความโลภ โกรธ หลง ระหว่างทำ หรือพลังไม่เสถียร์ สื่อหรือเครื่องราง ก็จะติดมลทิน หรือพลังลบ และอาจกลายเป็นของอาถรรพ์ หรือดึงดูดสิ่งที่ไม่ดีมาได้ค่ะ
2. เจตนารมณ์ หรือสภาพจิตที่แท้จริงของผู้ซื้อ กับความรู้และความเข้าใจ สินค้าในแต่ละร้านจะมีจุดยืนหรือกฏที่แตกต่างกัน สำหรับร้านเราแล้ว กรณีที่ผู้ซื้อมีเจตนาแอบแฝง หรือนำสินค้าไปใช้ในทางที่ผิด สื่อก็จะกลายเป็นสิ่งของธรรมดาค่ะ โดยเฉพาะอัลบิลิตี้และอินทิตี้ หากคุณไม่รักษาสัญญา หรือปราศจากความจริงใจ พวกเขาก็มีสิทธิ์ที่จะไปจากคุณได้ทุกเมื่อ หากคุณทำผิดเงื่อนไขค่ะ นั่นคือ ใจแลกใจ (ไม่เข้าใจให้ย้อนกลับไปอ่านบทความเก่ามีอธิบายค่ะ)
เมื่อก่อนแม่ค้าชอบสะสมทองนะ เพราะฉุกเฉินก็ยังขายได้ (แต่โดน...ฉกไปเรียบค่ะ) อีกประการคือ แม่ค้าเป็นพวกผิวแพ้ง่ายใส่ได้แต่สร้อยทอง หรือเชือกค่ะ โลหะอย่างอื่นผื่นกิน แต่พอเจอร้านพี่จิวเวอรี่ (เจ้าที่ทำด้วยประจำ) ก็ใส่จี้เงินได้ล่ะ เลยชอบสั่งทำ เพราะมันแข็งแรงและราคาเบากว่าทองค่ะ ที่สำคัญคือ ออกแบบเองได้ตามใจต้องการ ขอแค่มีงบประมาณ (นี่คือเหตุผลที่แม่ค้าแนะนำงานจิวเวอรี่ให้กับลูกค้าที่มีงบสั่งทำค่ะ) ฉะนั้น**ประเด็นนี้ตกไปนะคะ ไม่ได้ ไม่เกี่ยวกับวัตถุ ทุกอย่างอยู่ที่ใจ และการฝึกค่ะ
แต่ถ้าให้ย้อนไปตามความเชื่อของยิปซี เขาก็ชอบสะสมเหรียญทองกับเหรียญเงิน มาเป็นเครื่องรางหรือสมบัติเหมือนกันค่ะ
--------------------------------------
กลับมาต่อกันที่เรื่องทองจริงปลอมดูยังไงค่ะ
ก่อนอื่นเราต้องมารู้จักทองกันก่อนค่ะว่ามีอะไรบ้าง (1)
ทองคำ หลายคนพอได้ยินคำนี้จะนึกถึงสีทอง ความจริงแล้วทองคำมีหลายสีที่แตกต่างได้หากมีการผสมแร่ธาตุชนิดอื่นๆเข้าไปและมีชื่อเรียกแตกต่างกันไป
- ทองคำขาว หรือ Platinum เป็นแร่ธาตุที่มีสีเงินเทา มีน้ำหนักมาก สามารถยืดและตีเป็นแผ่นได้ ทนต่อการกัดกร่อน นำมาทำเครื่องประดับได้ดีเนื่องจากมีความหนาแน่นมากทำให้แกะลายได้สวยกว่าทองและถึงแม้จะใช้ไปนานๆลวดลายก็ยังคงคมชัดเหมือนเดิมที่สำคัญคือไม่สึก หลุดร่อน น้ำหนักเท่าเดิมไม่สูญหายเหมือนทองแม้จะใช้ไปนานแค่ไหนก็ตาม แพลทินัมหายากกว่าทองคำจึงมีราคาสูงกว่าทองคำ 2-3 เท่า
- ทองขาว หรือ White gold คนทั่วไปมักสับสนเข้าใจว่า ทองขาว (White gold) เป็นชนิดเดียวกันกับทองคำขาว (Platinum) แต่ความจริงแล้วแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะทองขาวหมายถึงการผสมกันของทองคำกับโลหะอื่นๆ ซึ่งจะมีคุณสมบัติต่างกัน เช่นถ้าผสมนิกเกิล ก็จะแข็งเหมาะที่จะทำแหวนและหมุดผสมแพลเลเดียมจะอ่อนนุ่มกว่าเหมาะสำหรับประดับอัญมณี แต่ถ้าผสมทองแดง เงิน และ แพลทินัม ใช้สำหรับเพิ่มน้ำหนักและความคงทน โดยปกติเครื่องประดับที่ทำจากทองขาว นิยมเคลือบด้วย โรเดียม เพื่อเพิ่มความขาว และเงางาม
- ทองเขียว หรือ Green gold เป็นทองคำผสมแร่อื่นๆเช่น เงิน มีความบริสุทธิของเนื้อทองคำ18 กะรัตคือประกอบไปด้วยทองคำ 75% และเงิน 25%
- ทองคำสีกุหลาบ หรือ Rose gold เป็นโลหะเจือระหว่างทองคำและทองแดง บางครั้งเรียกทองคำชมพู (Pink gold) และ ทองคำแดง (Red gold) ตามสีที่ได้ หรือเรียกว่าทองรัสเซีย เพราะเคยเป็นที่นิยมกันมากในรัสเซียในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 แต่สำหรับคนไทยรู้จักกันในชื่อ “นาก” ซึ่งนิยมนำมาทำเป็นเครื่องประดับและขายอยู่ตามร้านทองทั่วไป
- ทองคำสีเทา คือการนำทองคำมาผสมด้วยแร่เงิน แมงกานีส และ ทองแดงลงไปตามสัดส่วนเฉพาะ
- ทองคำสีม่วง เป็นการผสมกันของของทองคำและอะลูมิเนียม โดยใช้ทองประมาณ 79% จึงสามารถเรียกเป็นทอง 18 กะรัตได้ ทองคำม่วงเปราะกว่าโลหะเจือทองคำชนิดอื่นๆ แตกหักได้ง่าย
- ทองคำดำ หรือ Black gold เป็นทองที่ใช้กันในเครื่องเพชรพลอย สีของทองคำดำสามารถสร้างได้หลายวิธี ชุบโลหะโรเดียมดำหรือรูทีเนียมด้วยไฟฟ้า
- ทองเหลือง และทองสัมฤทธิ์ หรือ สำริด เรียกทองแต่ไม่มีส่วนผสมของทองคำเลย ทองเหลืองเป็นโลหะผสมระหว่างทองแดงกับสังกะสี ใช้ทำเครื่องใช้เครื่องประดับ และงานทางศิลปะ ส่วนทองสัมฤทธิ์ หรือ สำริด เป็นโลหะผสมระหว่างทองแดง และดีบุก สัมฤทธิ์บางชนิดอาจมีส่วนผสมของสังกะสี หรือตะกั่วปนอยู่ด้วย
ทองเกือบทุกสีมีขายตามร้านทองทั่วไป ในรูปแบบแตกต่างกันทั้งของใช้และเครื่องประดับ
ที่นี้กลับมาที่ทองสีเหลืองค่ะ หรือ ทองคำ (Gold) เป็นธาตุชนิดหนึ่งในธรรมชาติ ซึ่งเป็นโลหะที่มีคุณสมบัติพิเศษคือ ทนทานต่อกรดเกือบทุกชนิด และยังทนทานต่อการเป็นสนิมอีกด้วย ทองคำบริสุทธิ์นั้น จะไม่หมอง และไม่เกิดเป็นสนิม แม้จะถูกเก็บไว้ในที่ชื้นๆเป็นเวลานาน นอกจากนี้ ทองคำบริสุทธิ์ ยังมีความอ่อน และเหนียว ซึ่งสามารถนำมาตีแผ่ให้บางมากๆได้โดยที่ยังไม่ขาดออกจากกัน ดังที่เห็นได้ชัดที่สุดคือ ทองคำเปลว และด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ ทองคำจึงถือว่าเป็นโลหะที่มีค่ามาก นอกจากนี้ทองคำยังถูกนำมาใช้เป็นทุนสำรองทางการเงินของเกือบทุกประเทศ และด้วยคุณค่าของมัน ทองคำจึงถูกนำมาทำเป็นเครื่องประดับกันอย่างแพร่หลายอีกด้วย
**ขอยกไปต่อโพสหน้านะคะยาวแล้ว
By VMM 8/3/62
ภาพประกอบ ตัวอย่างสีของแหวนทอง จาก Google
ทอง (2)
ปัจจุบันการกำหนดคุณภาพของทองคำยังคงใช้ความบริสุทธิ์ของทองคำในการบ่งบอกคุณภาพของทองคำ โดยการคิดเนื้อทองเป็น “กะรัต”
ทองคำบริสุทธิ์ หมายถึง ทองคำที่มีเนื้อทอง 99.99 เปอร์เซ็นต์หรือมากกว่านั้น หรือเรียกกันว่าทองร้อยเปอร์เซ็นต์ หรือเรียกกันในระบบสากลว่า ทอง 24 กะรัต หากมีความบริสุทธิ์ของทองคำลดต่ำลงมา ก็แสดงว่ามีโลหะอื่นเจือปนมากขึ้นตามส่วน เช่น ทอง 14 กะรัต หมายถึง ทองที่มีเนื้อทองบริสุทธิ์ 14 ส่วน และมีโลหะอื่นเจือปน 10 ส่วน เป็นต้น ทองประเภทนี้บางทีเรียกว่า “ทองนอก” ซึ่งส่วนมากนิยมนำมาทำเป็นเครื่องประดับเพชรพลอยต่างๆ ในอุตสาหกรรมอัญมณี
24K 99.99% สีทอง สวิสเซอร์แลนด์
22K 91.7% สีเหลืองทอง อินเดีย
21K 84.5% สีเหลืองทอง กลุ่มตะวันออกกลาง
18K 75% สีเหลืองขาว อิตาลี,ฝรั่งเศส,ญี่ปุ่น
14K 58.3% สีเหลืองขาว สหรัฐอเมริกา,อังกฤษ
10K 41.6% สีเหลือง สหรัฐอเมริกา ,อเมริกาเหนือ
9K 37.5% สีเหลืองปนเขียว อังกฤษ
8K 33.3% สีเหลืองซีด เยอรมนี
สำหรับในไทยนั้นใช้มาตรฐานความบริสุทธิ์ของทองคำที่ 96.5 เปอร์เซ็นต์ หากจะเทียบเป็นกะรัตแล้ว จะได้ประมาณ 23.16 K ซึ่งจะได้สีทองที่เหลืองเข้มกำลังดี และมีความแข็งของเนื้อทองพอเหมาะสำหรับการนำมาทำเครื่องประดับ
เนื่องจากทองคำบริสุทธิ์ 99.99 เปอร์เซ็นต์ มีความอ่อนตัวมาก จึงไม่สามารถนำมาใช้งานได้ จำเป็นต้องผสมโลหะอื่นๆ ลงไปเพื่อปรับคุณสมบัติทางกายภาพของทองคำให้แข็งขึ้น คงทนต่อการสึกหรอ โลหะที่นิยมนำมาผสมกับทองคำได้แก่ เงิน ทองแดง นิกเกล และสังกะสี
ซึ่งอัตราส่วนจะสัมพันธ์ตามความต้องการของผู้ใช้งาน กล่าวคือ ผู้ผลิตทองรูปพรรณแต่ละรายจะมีสูตรของตนเอง ในการผสมโลหะอื่นเข้ากับทอง บางรายอาจผสมทองแดงเป็นสัดส่วนที่มากหน่อยเพราะต้องการให้สีของทองออกมามีสีอมแดง หรือบางรายอาจชอบให้ทองของตนสีออกเหลืองขาวก็ผสมเงินในอัตราส่วนที่พอเหมาะ ซึ่งทั้งหมดนั้นจะได้ความบริสุทธิ์ของทอง 96.5 เปอร์เซ็นต์ เช่นเดียวกัน
ฉะนั้นทองเค ไม่ใช่ทองปลอม แต่เป็นทองที่มีส่วนผสมและคุณภาพมากน้อยต่างกันไปค่ะ
--------------------------
ที่นี้ได้เวลารู้จักกับทองปลอม หรือทองชุบกันค่ะ
ทองปลอมคือทองที่ผลิตขึ้นมาเลียนแบบทองคำแท้ ทำให้เสมือนทองคำแท้ (โคลนนิ่ง) แต่ตัวเรือนไม่ได้ทำจากทองคำแท้ จึงไม่สามารถนำไปจำนำหรือนำไปขายต่อในรูปแบบของทองคำแท้ได้ ราคาจึงถูกกว่าทองคำแท้ถึง 10-20 เท่า เหตุนี้เองด้วยราคาที่ถูกมากๆ ทำให้ผู้บริโภคจับต้องได้ง่าย สามารถสวมใส่แทนของแท้ได้ สวมใส่ติดตัวได้ตลอดเวลา เฉกเช่นได้สวมใส่เครื่องประดับทองคำแท้
ทองไมครอน คือ เครื่องประดับที่ไม่ได้ทำมาจากทองแท้ เพียงแต่ถูกนำไปผ่านกระบวนการชุบทองคำแท้เคลือบบนผิวของตัวเรือนเท่านั้น (ชุบด้วยไฟฟ้า) ทำให้พื้นผิวของตัวเรือน สี ดูผ่านๆ เหมือนทองคำแท้ แต่เมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่งเจ้าทองไมครอนจะค่อยๆ มีสี และสภาพหมองลงไปเรื่อยๆ โดยความทนทานก็ขึ้นอยู่กับความหนาของทองคำที่ใช้ในการชุบ ซึ่งความหนาของทองคำในการชุบ เราจะมีหน่วยเรียกว่า ไมครอน ยิ่งค่าไมครอนสูงความทนทานก็จะสูง อายุการใช้งานก็จะนานตามไปด้วย แต่ถ้าหากมีค่าไมครอนต่ำ แสดงว่าผิวทองทองที่ชุบมีความบาง ทำให้มีอายุของการใช้งานสั้นลง สีหมองคล้ำ ดำ อาจจะหลุดลอกออกไปได้ง่าย ติดตามผิวหนังเวลาสวมใส่ได้
ระยะเวลาการใช้งานของเครื่องประดับทองไมครอน นอกจากขึ้นอยู่กับความหนาของทองที่ชุบแล้ว ยังขึ้นอยู่กับสภาพความเป็นกรดด่างในเหงื่อของผู้สวมใส่ ชีวิตประจำวัน และการดูแลรักษา ซึ่งในคนที่มีเหงื่อเค็ม เครื่องประดับก็หมองเร็วกว่า
ก็รู้กันแล้วนะคะว่า ทองไมครอนไม่ใช่ทองจริงๆ แต่ก็มีสีและลักษณะภายนอกที่ดูผ่านๆ แล้วเหมือนทองคำจริงๆ จึงเป็นช่องให้มิจฉาชีพนำมาหลอกขายได้ง่ายๆ เพราะฉะนั้นจะซื้อทองทุกครั้ง เลือกซื้อจากร้านทองที่ไว้ใจได้ และยึดมั่นในเรื่องของความซื่อสัตย์นะคะ
สำคัญ**เก็บใบเสร็จและใบรับประกันของร้านไว้ให้ดีด้วยค่ะ (ถ้ามี)
ตอนหน้า ไปดูวิธีพิสูจน์ทองปลอมกันค่ะ
By VMM 8/3/62
ภาพประกอบ ตารางเปรียบเทียบเปอร์เซ็นต์ทอง K ที่มา Google
ทอง (3)
วิธีพิสูจน์ทองคำแท้
1. ตรวจสอบจากขนาดและน้ำหนักของทอง
วิธีตรวจสอบทองคำแท้แบบนี้ต้องอาศัยความคุ้นเคย คือเราต้องรู้ว่าทองคำหนัก 1 บาท หรือ 2 บาทนั้น ควรมีขนาดแค่ไหน เช่น ถ้าบอกว่าสร้อยทอง 2 บาท แต่ขนาดใหญ่มาก ก็จะไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง
ซึ่งน้ำหนักทองอยู่ในช่วงตามค่ามาตรฐานที่สมาคมค้าทองคำได้กำหนดน้ำหนักของทองรูปพรรณ 96.5% แต่ละขนาดไว้ดังนี้
ทอง 0.6 กรัม = 0.6 กรัม,
ทอง 1 กรัม = 1.0 กรัม,
ทองครึ่งสลึง = 1.9 กรัม,
ทอง 1 สลึง = 3.79 – 3.8 กรัม,
ทอง 2 สลึง = 7.58 – 7.6 กรัม,
ทอง 3 สลึง = 11.37 – 11.4 กรัม,
ทอง 1 บาท = 15.16 – 15.2 กรัม,
ทอง 6 สลึง = 22.74 – 22.8 กรัม,
ทอง 2 บาท = 30.32 – 30.4 กรัม, …
หากเป็นทองเปอร์เซ็นต์ต่ำ อาจอ้างอิงน้ำหนักทองตามนี้ หรือไม่อ้างอิง ก็ได้ เนื่องจากทองรูปพรรณที่ใช้ทองเปอร์เซ็นต์ต่ำจะผลิตตามความเหมาะสมด้านการผลิตขึ้นรูป ผลิตตามดีไซน์พิเศษ อาจมีเพชรหรือลูกเล่นอื่นเพิ่มขึ้นมา ทำให้น้ำหนักไม่เป็นไปตามข้อมูลข้างต้นค่ะ
กรณีทองปลอมก็เช่นกัน หากเป็นทองปลอมที่ตั้งใจผลิตเพื่อหลอกลวงผู้ซื้อ แน่นอนว่ามิจฉาชีพที่ฉลาด มีความรู้หน่อยย่อมผลิตทองออกมาตามน้ำหนักดังกล่าว แต่หากเป็นทองที่ไม่ได้ตั้งใจเพื่อจะหลอกลวงผู้ซื้อ ก็จะมีน้ำหนักต่างๆกันไปค่ะ
ฉะนั้นข้อนี้ท่านอาจแยกทองแท้ทองปลอมออกไม่ได้ทั้งหมด ต้องอาศัยตัวช่วยอื่นด้วยค่ะ
2. ตรวจสอบดูด้วยตาเปล่า
การดูยี่ห้อ และเปอร์เซ็นต์ทอง ที่ประทับอยู่บนตัวทอง ในระยะหลังที่มีการควบคุมมาตรฐานการผลิตทองคำโดยสมาคมค้าทองคำ ทองคำแท่งและทองรูปพรรณทุกชิ้น จะมีการประทับตรายี่ห้อ(ผู้ผลิต) มักเป็นอักษรภาษาจีน 3-4 ตัว และเปอร์เซ็นต์ทอง อยู่บริเวณหัวจรวดหรือห่วงที่อยู่ใกล้กับตะขอของสร้อย, บริเวณด้านในของแหวน, ด้านหลังของต่างหู หรือห่วงที่ใช้ห้อยกับตะขอของจี้ หากเป็นทองเปอร์เซ็นต์มาตรฐานก็จะปั๊ม 96.5% ส่วนทองเปอร์เซ็นต์ต่ำจะปั๊มยี่ห้อและเปอร์เซ็นต์ของทองชิ้นนั้น เช่น 90%, 80%, 75%, 750 หรือ 18K, 14K เป็นต้น
ซึ่งตัวเลขที่ตอกไว้มีขนาดเล็กมาก จึงต้องหาแว่นขยายส่องดูจะทำให้เห็นชัดขึ้น ดูการตอกโค๊ดของยี่ห้อชัดเจนหรือไม่ ถ้าเห็นว่ามีการตอกแบบมั่วๆ เลขซ้ำไปซ้ำมาอ่านไม่รู้เรื่อง ก็ให้สงสัยว่าอาจจะเป็นทองปลอมได้
แล้วยังมีอีกจุดหนึ่งที่จะให้คุณสังเกต คือ การดูตามรอยต่อหรือจุดเสียดสี ถ้าเป็นทองคำแท้จะไม่มีรอยถลอก ลอก หรือเปลี่ยนสี แต่ถ้าเป็นทองคำชุบหรือทองปลอม ตามรอยต่อเหล่านั้นจะเกิดการลอก หรือสีภายในถลอกเป็นสีดำ วิธีนี้อาจใช้แว่นขยายมาช่วยตรวจสอบเพื่อเพิ่มความแม่นยำมากขึ้น
3. การลองใช้เล็บจิกเนื้อทอง เพื่อดูความอ่อนตัวของทอง ด้วยความที่ทองคำบริสุทธิ์เป็นโลหะที่มีความอ่อนตัวสูง หากท่านเป็นคนที่เคยใส่ทองรูปพรรณมาบ้างก็จะทราบว่าทองนั้นบุบง่ายมากๆค่ะ ฉะนั้นเราอาจพิจารณาทองเปอร์เซ็นต์สูงได้ด้วยการเอาเล็บจิกค่ะ ซึ่งแน่นอนว่าจะทำให้ทองเสียรูปไปนะคะ โดยท่านอาจจะจิกบริเวณที่มองไม่ค่อยเห็นก็ได้ จะได้ไม่สร้างรอยแผลกวนใจเรานะคะ (แต่อย่าไปแอบจิกทองในร้านทองนะคะ อันนี้ไม่ดีค่ะ)
วิธีการนี้อาจต้องอาศัยคนที่มีประสบการณ์หน่อยนะคะ ถึงจะทราบความรู้สึกเวลาเล็บเราจิกลงไปที่เนื้อทอง ว่าทองเปอร์เซ็นต์สูงกับทองเปอร์เซ็นต์ต่ำๆ มีการยวบตัวแตกต่างกันอย่างไร เพราะมิฉะนั้นถึงจิกไปก็คงไม่สามารถแยกอะไรได้อยู่ดีค่ะ
4. การใช้ตะไบ ตะไบเนื้อทองด้านนอกออก
การใช้ตะไบ ตะไบทองออกนี้ มีประโยชน์เฉพาะแยกทองกับทองปลอมออกจากกันด้วยสายตา แต่ไม่สามารถแยกทองเปอร์เซ็นต์สูงกับทองเปอร์เซ็นต์ต่ำออกได้นะคะ เนื่องจากการตะไบเป็นการเปิดเนื้อทองให้เห็นเนื้อข้างใน ในกรณีที่เป็นทองปลอม ทองชุบ ทองยัดไส้ เมื่อตะไบแล้ว จะเผยให้เห็นสีทองใต้ผิวที่ผิดแปลกไปจากสีทองที่ผิวซึ่งผ่านการชุบมาแล้วนั่นเองค่ะ แต่ที่ไม่สามารถแยกทองเปอร์เซ็นต์สูงออกจากทองเปอร์เซ็นต์ต่ำได้เนื่องจากทองทั้งสองประเภทเป็นทองที่เป็นเนื้อผสมเดียว ฉะนั้นสีของทองไม่ว่าบนผิวหรือใต้ผิวก็จะมีสีเดิมทั้งชิ้น ผู้ที่ไม่มีประสบการณ์อาจจะแยกไม่ออกได้ด้วยสายตาค่ะ
สำหรับข้อเสียของวิธีการนี้คือการใช้ตะไบตะไบเนื้อทองออก อาจทำให้น้ำหนักทองลดลง มากน้อยก็ตามแต่ว่าท่านตะไบเนื้อทองออกไปมากเพียงใดนั่นเองค่ะ
5. ทดสอบด้วยการกัด
ทองที่บริสุทธิ์เมื่อเรากัดด้วยแรงปานกลาง ก็จะเห็นร่องรอยของฟันเราบนทองที่เรากัด ยิ่งรอยลึกเท่าไร ทองของคุณก็ยิ่งบริสุทธิ์มากเท่านั้น แต่คุณควรระวัง วิธีนี้อาจทำให้ฟันหักหรือบิ่นได้ และที่สำคัญ คุณอาจจะเข้าใจผิดคิดว่าตะกั่วเป็นทองเมื่อทดสอบด้วยการกัด เพราะตะกั่วจะนุ่มกว่าทองและตะกั่วชุบทองมากทีเดียว
6. ทดสอบโดยใช้แม่เหล็ก
ทองคำแท้จะไม่ถูกดูดติดกับแม่เหล็ก แต่ถ้าทองเส้นนั้นเป็นทองปลอมหรือใส่เหล็กมามาก แม่เหล็กก็จะดูดติดทันที วิธีนี้เป็นการทดสอบที่ง่าย แต่คุณต้องระวัง เพราะมันไม่ได้ครอบคลุมไปหมด ยังมีโลหะชนิดอื่นที่แม่เหล็กดูดไม่ติดก็มี
7. ทดสอบด้วยจานเซรามิค
นำทองไปขูดกับจานเซรามิค ถ้าขูดแล้วมีรอยสีดำแสดงว่าเป็นทองเก้ แต่ถ้าขูดแล้วพบว่าเป็นรอยสีทองแสดงว่านั่นเป็นทองคำแท้
8. ฟังเสียงเวลาตกกระทบพื้นหรือกระจก ลองเอาโยนลงกระจกแล้วฟังเสียงดู หากทองปลอมที่ถูกยัดไส้ เวลาหล่นพื้นเสียงจะแน่นๆ ดัง แป๊ก หรือแก๊กๆๆ อย่างชัดเจนแต่ถ้าเป็นทองจริงเสียงมันจะเบาๆ นุ่มๆ กว่า (ข้อนี้ยากต้องหามาเปรียบเทียบฝึกเอง)
9. การทดสอบด้วยกรดและน้ำเกลือ
การทดสอบทองด้วยการใช้กรดและน้ำเกลือ ทำได้โดยนำทองที่ท่านสงสัยมาขูดลงบนแผ่นหินเรียบ ให้เนื้อทองติดลงไปบนหิน แล้วนำกรดไนตริกเข้มข้นหยดลงไปที่ทองที่ขูดไว้ ตามด้วยน้ำเกลือ ให้สังเกตว่าทองแท้จะไม่ละลายหายไปกับกรดและน้ำเกลือ แต่จะยังคงเหลืออยู่บนหินเช่นนั้นไปตลอดค่ะ ต่างจากทองปลอมหรือทองเปอร์เซ็นต์ต่ำๆที่เนื้อทองจะถูกกรดกัดจนละลายออกไปหมดหรือละลายออกไปบางส่วนจนสีอ่อนลงค่ะ ดังนั้นวิธีการนี้อาจไม่ได้ผลหากเป็นทองชุบที่ชุบมาหนามากเช่นกันค่ะ
10. ทองแท้ย่อมไม่แพ้ไฟ
ทองแท้ย่อมไม่แพ้ไฟ ไม่ใช่แค่ประโยคที่ถูกสร้างขึ้นให้มีสมบัติสำนวนสละสลวยเพียงเท่านั้น แต่เป็นประโยคคลาสสิก ที่มีนัยยะเพื่อแสดงถึงความแข็งแรงในจิตใจของมนุษย์ที่ถึงแม้จะเจออุปสรรคอย่างไรก็ไม่ยอมแพ้ ดุจดั่งทองคำแท้ที่ถึงแม้จะโดนไฟเผา แต่ก็ไม่มีทางจะเปลี่ยนสภาพไปจากทองเลยเช่นกัน
ก่อนที่ท่านจะทำการพิสูจน์ด้วยวิธีเผาไฟ เราขอเตือนว่าหากท่านเผาทองบริเวณที่เนื้อทองบางๆ มีความเสี่ยงที่ไฟจะทำให้ทองของท่านขาดได้ รวมไปถึงสภาพทองอาจไม่กลับมาเหมือนเดิมอีก ฉะนั้นขอให้ใช้ความระมัดระวังหน่อยนะคะ หากต้องการพิสูจน์ทองด้วยวิธีนี้ ท่านก็สามารถใช้ไฟสเปรย์ ไฟตะเกียง หรือไฟแช็คเผาทองจนร้อนแดงได้เลยค่ะ เมื่อทองเย็นลง หากเป็นทองแท้เปอร์เซ็นต์สูงก็จะคืนสภาพกลับมาเป็นทอง ซึ่งมีสีทองเหมือนก่อนที่ท่านจะเผาเลยค่ะ แต่ยกเว้นบริเวณน้ำประสานทองนะคะ ถ้าบริเวณน้ำประสานทองถูกเผาไฟ ก็จะมีสีดำค่ะ เนื่องจากบริเวณนี้มีธาตุอื่นผสมสูง ซึ่งธาตุผสมเหล่านั้นสามารถทำปฏิกิริยากับอากาศเมื่อโดนไฟเผาเกิดเป็นออกไซด์ได้ง่ายกว่าทองที่เป็นธาตุเฉื่อยนั่นเองค่ะ จึงทำให้มีสีดำ
กรณีที่ทองของท่านเป็นทองเปอร์เซ็นต์ต่ำ ทองที่เย็นลงหลังถูกเผาจนร้อนแดงจะมีสีดำคล้ำลง โดยยิ่งเป็นทองเปอร์เซ็นต์ยิ่งต่ำ สีทองของท่านก็จะยิ่งดำคล้ำมากยิ่งขึ้น และไม่กลับสภาพเดิมหลังจากเย็นตัวแล้วอีกด้วยค่ะ
แต่ถ้าเป็นทองปลอม ทองชุบ พวกนี้เมื่อถูกเผาไฟก็จะเสื่อมสภาพไปจนเห็นชัดเลยค่ะ และสีของทองก็จะเปลี่ยนไปมากเช่นกันค่ะ อาจไม่ใช่แค่ดำคล้ำลงมาก แต่อาจเปลี่ยนเป็นสีอื่นไปเลยก็ได้ค่ะ
หากท่านต้องการให้สีบริเวณน้ำประสานทอง หรือสีของทองเปอร์เซ็นต์ต่ำของท่านคืนตัว จะต้องนำทองที่ถูกเผาจนร้อนแดง มาจุ่มกรดซัลฟิวริกเข้มข้นเพื่อคืนสภาพทอง และตามด้วยน้ำเกลือเพื่อปรับสภาพให้เป็นกลางค่ะ ซึ่งการใช้กรดนี้อันตรายมากเนื่องจากจะมีกรดที่ทำปฏิกิริยากับทองที่ร้อน และคราบไคล คราบสบู่ในทองของท่าน ออกมาเป็นไอกรด หากสูดดมก็จะอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจของท่านได้ค่ะ ส่วนผลลัพธ์ที่ได้ต้องขอบอกให้ท่านทำใจเผื่อไว้มากหน่อยนะคะ เพราะยิ่งเป็นทองเปอร์เซ็นต์ต่ำ การคืนสภาพของทองและสีของทองก็จะยิ่งน้อยลง คือทองของท่านอาจจะมีสีคล้ำไม่คืนสภาพอีกเลยก็เป็นได้ค่ะ
วิธีเผาไฟนี้เป็นวิธีที่แม่นยำที่สุดในบรรดาการพิสูจน์ทองทุกวิธีที่ร้านทองนิยมใช้กัน แต่ถึงเป็นร้านทอง ก็ยังใช้การเผาทองเฉพาะในกรณีที่จำเป็นหรือหลังพิจารณาทองจากประสบการณ์แล้วยังมีความสงสัยอยู่ถึงจะเลือกใช้วิธีการนี้กันค่ะ
11. ส่งเข้าห้องปฏิบัติการให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ ห้องปฏิบัติการพิสูจน์อัญมณี เช่น สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ วิธีนี้จะสามารถระบุได้ว่าเป็นทองกี่เปอร์เซ็นต์ และจะได้ใบรับรองเพื่อเป็นหลักฐานยืนยันอีกด้วย หรือถ้าไม่อยากเสียงเงินก็โรงจำนำค่ะ ให้เจ้าหน้าที่ช่วยส่อง บอกมีคนฝากมาแต่ไม่มันใจอยากให้ช่วยตรวจหน่อยค่ะ
จบ. เรื่องทองเท่านี้ค่ะ ไว้ว่างจะมาต่อเรื่องเงินให้นะคะ
by VMM 8/3/61
เครดิตภาพ google.com