
Aroma Therapy กับการบำบัดรักษาโรคผ่านศาสตร์ของน้ำมันหอมระเหย-และการนวด
เนื่องด้วย อโรมา-เธราปี เป็นการรวมศาสตร์และศิลป์ ของกลิ่น น้ำมันหอมระเหย และการนวดเข้าด้วยกัน โดยอโรมา-เธอราปี เป็นการบำบัดโรคเพื่อจุดประสงค์ให้เกิดความสมดุล ของร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ การนำเอาวิธีต่าง ๆ มาประยุกต์ใช้ ร่วมกับกลิ่นหอมที่อยู่ในสารหอม หรือน้ำมันหอมระเหยจึงเป็นอีกหลายทางเลือก ที่มนุษย์ได้ศึกษาค้นคว้าเรื่อยมาตลอดระยะเวลาหลายพันปี จวบจนกระทั่งปัจจุบันนี้
8 วิธีทางเลือกกับ Aroma Therapy
1. การนวด (Message) เป็นวิธีที่ได้ผลดีที่สุดวิธีหนึ่ง เพราะด้วยสรรพคุณของน้ำมันหอมระเหยแต่ละชนิด จะสามารถช่วยบำบัดรักษาโรคได้ ตัวยาจะซึมผ่านผิวหนังด้วยการนวด ส่วนกลิ่นหอมจากน้ำมันหอมระเหยจะช่วยให้ประสาทสัมผัสรับกลิ่น ปรับอารมณ์ให้รู้สึกสบายขึ้นไปพร้อมๆ กัน ดังนั้นการใช้น้ำมันหอมระเหย ที่มีคุณภาพดี และเลือกใช้ให้เหมาะกับความต้องการในการบำบัด จะทำให้การนวดมีประสิทธิภาพขึ้น
2. การอาบ (Baths) เป็นวิธีง่ายๆ ที่สามารถทำเองได้ คือ ผสมน้ำอุ่นในอ่างน้ำสำหรับลงแช่ได้ แล้วหยดน้ำมันหอมระเหย ประมาณ 6-8 หยด ลงในอ่างน้ำ แล้วลงแช่ทั้งตัวสักประมาณ 20 นาที ไอระเหยจากอ่างน้ำอุ่นและการซึมทางผิวหนังด้วยการแช่ จะช่วยให้รู้สึกสดชื่นขึ้น
3. การประคบ (Compresses) ใช้ผ้าขนหนูสะอาดๆ ชุบน้ำที่ผสมน้ำมันหอมระเหยแล้วประคบตามบริเวณที่ต้องการ (ห้ามประคบบริเวณดวงตา) ส่วนผสมใช้น้ำมันหอมระเหย 2-3 หยดต่อน้ำอุ่น 100 มล. การประคบนี้จะช่วยให้รู้สึกดีขึ้นเฉพาะที่
4. การสูดดม (Inhalations) เป็นการใช้กลิ่นหอม จากน้ำมันหอมระเหยอย่างเดียวไม่มีการสัมผัสทางผิวหนัง การสูดดมกลิ่นหอมทำได้ 2 วิธีคือ ใส่น้ำมันหอมระเหย 2-3 หยด ในชามที่เตรียมน้ำอุ่นไว้แล้วก้มลงสูดดมสัก 2-3 นาที หรือหยดน้ำมันหอมระเหย 1-2 หยด ในผ้าเช็ดหน้าแล้วสูดดม (ต้องหลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำมันหอมระเหยโดยตรง)
5. การสูดไอน้ำ (Vaporisation) น้ำมันระเหยบางชนิด เป็นแอนตี้เซปติก (Antiseptic) ฆ่าเชื้อโรคได้ เมื่อสูดดมไอน้ำจากน้ำมันหอมระเหยชนิดนี้เข้าไป จะช่วยกำจัดเชื้อโรคในระบบทางเดินหายใจได้ วิธีทำ หยดน้ำมันหอมระเหย 2-4 หยด ลงในชามใหญ่ ซึ่งผสมน้ำร้อนไว้แล้ว ใช้ผ้าคลุมและก้มหน้าลงเข้าไปอังไอน้ำ สูดไอน้ำร้อนผสมน้ำมันหอมระเหย พักเป็นระยะๆ วิธีนี้ไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเรื่องผิวบาง และไม่เหมาะกับผู้ที่เป็นหอบหืด
6. การเผา/อบห้อง เป็นการอบห้องให้หอม หลักการอบห้องเพื่อฆ่าเชื้อโรค ในโรงพยาบาลก็ใช้หลักการนี้เช่นกัน เพราะน้ำมันหอมระเหยที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อจะถูกอบอวล ในห้องที่ปิดมิดชิดสามารถฆ่าเชื้อโรคได้ ในกรณีที่ต้องการให้ห้องหอมตามกลิ่นที่ต้องการ ก็สามารถทำได้โดย หยดน้ำมันหอมระเหย 3-4 หยด ในน้ำที่เตรียมใส่ในจานสำหรับเผา (Aroma Jar) แล้วจุดเทียนไว้ในห้อง ความร้อน จากเทียนจะทำให้กลิ่นหอม จากน้ำผสมน้ำมันหอมระเหยส่งกลิ่นอบอวลไปทั่วห้อง ควรเผา/อบไม่นานกว่า 10 นาที ต่อครั้ง
7. ใช้ผสมกับเครื่องหอม และน้ำหอม ส่วนมากเครื่องหอม เช่น บุหงา และน้ำหอมจะมีส่วนผสมจากกลิ่นไม้หอม หรือกลิ่นจากดอกไม้นานาพันธุ์ผสมอยู่ การใช้เครื่องหอมและน้ำหอม ส่วนมากจะมีจุดประสงค์ให้เกิดความสบายใจ สะอาด สดชื่น และเป็นที่เร้าใจตราตรึงใจจากผู้คนที่อยู่ใกล้
8. ใช้ผสมกับเครื่องสำอางค์ ครีม โลชั่น ความหลากหลายของคุณสมบัติเฉพาะ จากน้ำมันหอมระเหย สามารถช่วยให้เครื่องสำอางค์ ครีมและโลชั่นต่าง ๆ กลายเป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวกาย ผิวหน้า เส้นผม และสารสกัดบางชนิดยังช่วยในการทำความสะอาดผิวหนัง สร้างความสมดุลให้ผิวอีกด้วย แต่การเลือกใช้น้ำมันหอมระเหยแต่ละชนิด ต้องพิถีพิถัน และศึกษาให้รู้จริงว่า สารชนิดใด มีคุณสมบัติเช่นใด จึงจะก่อประโยชน์สูงสุด
 ศาสตร์แห่งการนวดกับอโรมา-เธอราปี
เรื่องการนวดเป็นเรื่องธรรมชาติที่มีแต่โบราณ สมัยยุคหิน เมื่อไปล่าสัตว์เกิดเมื่อยตัวก็กลับมาบีบนวดด้วยมือ บางครั้งก็ใช้น้ำลายทำให้ลื่นขึ้น ในบางครั้งก็อาศัยบ่อน้ำร้อน หินร้อนธรรมชาติที่อยู่ใกล้มือๆ เมื่อลงไปแช่ หรือนำมาประคบ ก็เกิดเป็นการผ่อนคลายที่ใช้กันมาตั้งแต่โบราณกาล ต่อมาหลังจากยุคหินนั้น เป็นสมัยที่มีการจดบันทึกไว้ประมาณ 7000 ปีมาแล้ว จึงเป็นชาติแรกที่ใช้วิธีการนวด ซึ่งจักรพรรดิจีนโปรดให้มีการนวด เพื่อเป็นการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ เพื่อให้นอนหลับสบาย ต่อจากจีนก็เป็นอียิปต์ ก็ใช้การนวดนักรบ ในสมัยนี้ก็มีการอาบแช่เข้ามาด้วย การนวดของอียิปต์ยังมีการนวดเพื่อกระตุ้นอารมณ์ทางเพศอีกด้วย ซึ่งเป็นชาติแรกที่เริ่มใช้การนวดกับความรู้สึกทางเพศ หลังจากอียิปต์ก็ข้ามต่อมายัง ยุคโรมัน ใช้กับนักรบ...ต่อมาที่ โรม อิตาลีแล้วก็ต่อไปยังสแกนดีเนเวีย เดนมาร์ก สวีเดน ฟินแลนด์ นอร์เวย์ ซึ่งเป็นดินแดนที่มีการพัฒนาเรื่องการนวด อบเซาว์น่า ซึ่งฟินแลนด์เป็นต้นตำรับเกี่ยวกับการอบเซาว์น่า และในแถบสแกนดิเนเวียนี้ยังมีการเน้นเรื่องการอบด้วยความร้อน ด้วยวิธีต่าง ๆ ผสมผสานกับการนวด เพราะเป็นประเทศที่หนาว ต่อมาสวีเดนได้พัฒนามาเรื่อย ๆ จนเมื่อประมาณ 100 กว่าปีมานี้เอง สวีเดนได้รวบรวมศาสตร์การนวดและการอบไอน้ำเซาว์น่า จนกลายเป็นที่นิยมและเป็นวิธีการรวดที่ดีสุดที่สุดวิธีหนึ่งในปัจจุบัน ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อ สวีดิช มาสซาจ (Swedish Massage) เป็นการนวดแบบสากลเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก
หลักของสวีดิช มาสซาจ มีหลักคือ เพื่อผ่อนคลาย ให้เกิดความสบายเพื่อรักษาโรค เช่น อัมพาต ข้ออักเสบ ฯลฯ นวดเพื่อเสริมสวย เพื่อความสุขสำหรับคู่สมรส ซึ่งในทางการแพทย์-กายภาพบำบัด ก็มีการสอนเป็นหลักสูตรเพื่อให้บริการแนะนำแก่ผู้ป่วยและญาติผู้ป่วย หลักง่ายๆ ที่ให้ก็มีพื้นฐาน คือ การลูบคลึง การบิด การตบ การหยิบ การทุบ การสับ แล้วใช้ก็วิธีการเหล่านี้ไปปรับ และเสริม ทั้งนี้ผู้ที่นวดต้องศึกษาทางกายวิภาค และรู้จักสรีระ-ร่างกายของมนุษย์เป็นอย่างดี ว่าถูกบังคับด้วยประสาทส่วนใด มีกล้ามเนื้อตรงไหนใช้อย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายเนื่องจากการจับ หรือกด ผิดจุดได้
เครื่องมือ และส่วนประกอบที่ใช้ในการนวดมีตั้งแต่ มือ น้ำมัน แป้ง ยา ครีม โลชั่น เพื่อช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ถ้าใช้การนวดเพื่อผ่อนคลาย เพื่อให้เกิดความสบายจะใช้ครีม โลชั่นหรือน้ำมันหอมระเหย เพื่อให้เกิดความลื่น ทำให้การเสียดสี ระหว่างผู้นวดและผู้ถูกนวดลดลง และเกิดความสบาย แต่ถ้าเป็นผู้ป่วยที่เกิดจากโรค เช่น ข้ออักเสบ กล้ามเนื้ออักเสบ หรืออาการชา หรือความผิดปกติที่โครงสร้าง ก็ต้องใช้ยาและนวด เพื่อให้เลือดที่คั่งคลายและทุเลาปวด แต่ถ้ามีอาการบวม ช้ำ ระบม ก็ต้องใช้ยาอีกกลุ่มร่วมกับการนวดเพื่อคลาย แต่ต้องไม่สับสนกับการปฐมพยาบาลเกี่ยวกับการประคบเย็น 24 ชั่วโมง เมื่อเกิดการบวมแล้วประคบร้อนหลังจาก 24 ชั่วโมง เพราะการนวดจะมาปรับใช้ในขั้นตอนนี้ เพื่อให้เลือดที่คั่งคลายตัว และไหลเวียนดีโดยใช้ยาประกอบ เช่น ยาพวกเจลต่าง ๆ จะลดอาการระบม ยาที่นำมาใช้ในการนวดเหล่านี้เป็นยาที่ทาภายนอกจึงมีอันตรายน้อย ถ้าไม่มีอาการแพ้ เช่น ผื่นแดง คัน ปวดแสบปวดร้อน ก็ปลอดภัย
อโรมา-เธราปี มีส่วนเกี่ยวข้อง และมีประโยชน์กับการนวดเพราะเรื่องของกลิ่น เป็นเรื่องของจิตใจ อารมณ์ เพราะถ้าผู้ที่ถูกนวดรู้สึกสบายและหอมสดชื่น ก็จะทำให้ลดความตึงตัวของกล้ามเนื้อลงได้ เมื่อจิตใจสบาย ก็จะทำให้ส่วนต่าง ๆ รู้สึกดีขึ้น เพราะการนวดช่วยให้สบายอยู่แล้ว ดังนั้น กลิ่นที่ผสมอยู่ในน้ำมันซึ่งก็มีคุณสมบัติแต่ละชนิดไม่เหมือนกัน ก็จะช่วยได้เมื่อนำมาใช้กับการนวด เดี๋ยวนี้มีการนำพืชสมุนไพร มาสกัดมากมายหลายชนิด และก็มีการค้นคว้าถึงคุณสมบัติของกลิ่น แต่ละอย่างมากมายและกว้างขวางขึ้น ส่วนการนวดกับน้ำมันกลิ่นหอมนั้น ไม่ค่อยได้เน้นในทางการแพทย์เท่าไร แต่จะไปเน้นในเรื่องการบำบัด สำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องระบบทางเดินหายใจ โดยใช้กลิ่นร่วมกับการพ่นไอน้ำให้ผู้ป่วยได้สูดดม โดยใช้ร่วมกับออกซิเจน ซึ่งจะใช้ยา-กลิ่นที่มีคุณสมบัติในการขยายหลอดลม
แต่ถ้าพูดถึงอโรมา-เธอราปี กับการนวดแล้ว จะเน้นในเรื่องของการคลายเครียด นวดเพื่อผ่อนคลายมากกว่า จะเป็นการรักษาซึ่งก็จะมีวิธีประกอบกับการใช้กลิ่น เช่น การผ่านการสูดดม การอบไอน้ำ การนวด การประคบ และกลิ่นแต่ละกลิ่นก็ขึ้นอยู่กับความชอบของบุคคล ดังนั้นใครจะชอบกลิ่นใด หรือเหมาะกับกลิ่นไหน ก็ต้องทดลองเอง อย่างบางร้าน การใช้กลิ่นในการแพทย์แผนไทยก็กลับมาเป็นที่นิยมเช่นกัน เช่น การอบในกระโจมโดยมีสมุนไพรกลิ่นต่าง ๆ สมุนไพรเหล่านั้นก็เป็นยาและมีคุณสมบัติในการรักษาอยู่ด้วยเช่นกัน ดังนั้นถ้าจะพูดถึงอโรมา-เธอราปี อย่างเดียวว่าเป็นการรักษาด้วยกลิ่น คงต้องเข้าใจว่า การรักษาด้วยกลิ่นนั้นต้องปรับไปใช้กับศาสตร์อื่น ๆ ด้วย เช่นใช้กับการนวด การอบ การประคบ การสูดดม การแช่ การอาบ ฯลฯ ซึ่งก็หมายถึงความสบายของจิตใจและร่างกายนั่นเอง
เป็นที่เข้าใจกันดีอยู่แล้วว่า การนวดจะช่วยผ่อนคลาย ความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ และช่วยกระตุ้นระบบหมุนเวียนของโลหิต ช่วยให้ระบบน้ำเหลืองทำงานดีขึ้น ร่างกายจะรู้สึกคลายตัวสบายกาย และสบายใจ แต่ประโยชน์ที่ได้รับจากการนวดมีพัฒนาการขึ้นไปอีก เพราะนอกจากจะนวดตามแบบสากลที่มีสอนกันอยู่ในปัจจุบัน ประมาณ 4-5 ประเภทแล้ว ปัจจุบันการนวดยังนำศาสตร์อื่น ๆ เข้ามาช่วยให้การนวดมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่น นวดด้วยครีม (ยา) เพื่อคลายกล้ามเนื้อหรือเพื่อบำบัดโรค นวดด้วยน้ำมันหอมระเหยเพื่อให้ผ่อนคลายสบายใจขึ้น
1. Ayurveda (อายุรเวท) เป็นแขนงหนึ่ง ของการแพทย์แผนโบราณในอินเดีย เป็นวิธีปฏิบัติให้ร่างกายบริสุทธิ์ เพื่อหลีกเลี่ยงการเจ็บป่วย การนวดแบบนี้จะใช้ทั้งมือและเท้าในการนวด
2. Shiatsu (ชิอัตสึ) เป็นการนวดที่มาจากญี่ปุ่น และเป็นการพัฒนามาจากการกดจุดของจีน การนวดชิอัตสึ จะเป็นการใช้ทั้งมือกดจุดลงบนส่วนต่าง ๆ ซึ่งมีธาตุทั้ง 5 อยู่ตามร่างกาย การนวดนี้จะช่วยลดอาการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อได้ และยังสามารถคลายเครียดอีกด้วย แม้ว่าการนวดแบบนี้จะใช้นิ้วมือเป็นหลัก แต่ในบางครั้งก็ใช้ เข่า เท้า มือ ช่วยบ้าง
3. Reflexology (นวดแบบกดจุดบนเท้า) เป็นการใช้นิ้วกดจุดที่เท้า และมักใช้วิธีนี้รักษาโรค Migraine, ท้องผูก, ไซนัส, นิ่วในไต ฯลฯ
4. Swedish massage (แบบสวีดิช) เป็นการนวดที่นิยมไปทั่วโลก รวมทั้งในประเทศไทยด้วย เป็นการนวดแบบสัมผัส กด บีบ สับ ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย
5. Alexander Technique (ทฤษฎี ปรับปรุงบุคลิกภาพ) การนวดแบบนี้จะต้องปรับปรุงท่านั่ง ท่ายืน ท่าเดิน รวมทั้งจัดระบบการหายใจใหม่ Alexander ผู้ค้นพบวิธีนี้ เมื่อต้นศตวรรษที่ 20 เขาเชื่อว่า การวางท่าและจัดองค์ประกอบของรูปร่างไม่เหมาะสมจะก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามมา รวมทั้งเกิดความตึงตัวของกล้ามเนื้ออันเป็นผลทำให้เกิดการบาดเจ็บ ของกล้ามเนื้อได้
6. Polarity Therapy เป็นการนวดแบบเพิ่มพลัง ให้กายและใจโดยใช้หลักธาตุทั้ง 5 จากมือ เท้า ถ่ายพลังงานไปที่สมอง ทฤษฎีนี้ไม่เหมาะกับผู้ที่ป่วยหนัก
7. Deep Tissue Therapy เป็นการใช้ข้อศอกนวด กดจุด
 คุณค่าของน้ำมันหอมระเหย ...เลือกให้เหมาะกับคุณ
1. น้ำมันหอมระเหยโรสแมรี่ ช่วยขจัดแบคทีเรีย ขับเชื้อโรค ทำให้สดชื่นแจ่มใสช่วยให้มีสมาธิและมีกำลังใจ ถ้าใช้ในการนวดจะให้ความอบอุ่นกระตุ้นและปรับตัว เหมาะสำหรับผิวมัน
2. น้ำมันหอมระเหยลาเวนเดอร์ ช่วยกำจัดแบคทีเรีย และช่วยกระตุ้นให้ร่างกายขับเชื้อโรคออกไป ทำให้สงบ และผ่อนคลาย ช่วยให้อารมณ์เกิดความสมดุล ถ้าใช้ในการนวดจะช่วยให้นอนหลับสบายและผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ทำงานหนัก ถ้าใช้ผสมกับครีม โลชั่นจะช่วยบำรุงผิวและลดความมันบนใบหน้า และยังช่วยสมานแผลได้อีกด้วย
3. น้ำมันหอมระเหยคาโมมายล์ ช่วยทำให้ผิวสะอาด ช่วยให้จิตใจแจ่มใส มีสมาธิแน่วแน่ ถ้าใช้นวดจะช่วยให้รู้สบาย และสงบเหมาะกับผิวแห้งและผิวธรรมดาช่วยให้ผิวหนังรู้สึกผ่อนคลาย
4. น้ำมันหอมระเหยยูคาลิปตัส ช่วยให้หายใจโล่ง ช่วยให้มีความกระจ่าง ปลอดโปร่งและมีสมาธิ มีคุณสมบัติ ในการขจัดแบคทีเรียอีกด้วย ถ้าใช้นวด จะช่วยให้สดชื่น และฟื้นฟูสมรรถภาพของร่างกายเหมาะกับผิวธรรมดาถึงผิวมัน
5. น้ำมันหอมระเหยเป๊ปเปอร์มินต์ ช่วยกำจัดแบคทีเรีย ช่วยให้จิตใจแจ่มใส ปลอดโปร่ง ช่วยให้สดชื่นและมีชีวิตชีวา เหมาะสำหรับผิวมัน ไม่ควรใช้กับผิวที่แพ้ง่าย
6. น้ำมันหอมระเหยมะนาว (เลมอน) ช่วยให้สดชื่น แจ่มใส มีสมาธิ ถ้าใช้นวดจะทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตดีขึ้น จะช่วยให้รู้สึกร่าเริงและกระตือรือร้น
7. น้ำมันหอมระเหยเบอร์กาม็อท ช่วยดับกลิ่นและให้ความสดชื่น และเสริมสร้างอารมณ์ให้มีทัศนะในทางบวกมากขึ้น เหมาะสำหรับผิวมัน
8. น้ำมันหอมระเหยกระดังงา (อีแลงอีแลง) ช่วยให้มั่นใจ และจิตใจสบาย ให้ความรู้สึกคลาสสิก ให้ความอบอุ่นและอารมณ์ รัญจวน ถ้าผสมกับครีม โลชั่นจะช่วยลดความมันบนใบหน้าได้ เหมาะสำหรับผิวทุกประเภท
9. น้ำมันหอมระเหยมะลิ (จัสมิน) ช่วยให้เกิดความมั่นใจ มองโลกในแง่ดี ช่วยผ่อนคลายและเกิดอารมณ์รัก ใช้ได้กับทุกประเภทผิว และดีมากสำหรับผิวแห้ง
10. สารสกัดจากการบูร ใช้รักษาหนังศีรษะ
11. น้ำมันหอมระเหยจากต้นชา (Tea tree) ช่วยทำความสะอาดผิวได้
12. น้ำมันหอมระเหยไม้ซีดาร์ ช่วยให้รู้สึกสงบและผ่อนคลาย
13. น้ำมันหอมระเหยจากส้ม ช่วยให้การเผาผลาญพลังงาน เป็นไปตามปกติ ช่วยให้สดชื่น ผ่อนคลายความตึงเครียด จากการทำงานหนักมาทั้งวัน และยังให้ความรู้สึกเย้ายวน
14. น้ำมันหอมระเหยจากองุ่น ช่วยให้อารมณ์แจ่มใส สดชื่น
15. น้ำมันหอมระเหยเลมอนกราสส์ ช่วยทำความสะอาดผิวได้ดี
16. น้ำมันหอมระเหยมินต์ ช่วยลดอาการบวมน้ำ และช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตได้ดี
17. สารสกัดจากกำมะถัน ช่วยให้การเผาผลาญพลังงาน ให้เป็นไปตามปกติ
18. น้ำมันหอมระเหยดอกบัว (Lotus oil) ใช้บำรุงผิว
19. น้ำมันจากผลอะโวคาโด ใช้ผสมครีมบำรุงผิวหน้าและผิวกาย
20. น้ำมันจากจมูกข้าวสาลี ใช้ผสมครีมบำรุงผิวหน้าและผิวกาย

กลิ่นหอมกับความรู้สึกที่แตกต่าง
1. กลิ่นโรแมนติคหอมหวาน มักเป็นกลิ่นดอกไม้ หอมเรียบง่าย งดงามชื่นใจ เช่น กลิ่นดอกมะลิ ดอกกล้วยไม้ ดอกมูเกต์ ดอกกุหลาบ
2. กลิ่นหอมเร่าร้อน หยิ่ง ทะนง กล้าหาญ ได้จากกลิ่นหอมตระกูลเครื่องเทศผสมกับดอกไม้ที่มีกลิ่นไม่แรงนัก ให้ความรู้สึกกระปรี้กระเปร่า รู้สึกถึงความมีอิสระ ความกล้า หยิ่ง ทะนงในตัวเอง เช่น กลิ่นดอกพีโอนี ดอกซาตินวู้ด ดอกแซนดัลวู้ด ไม้แทงก้า
3. กลิ่นแห่งความลึกลับ ค้นหา คล้าย ๆ กับกลิ่นหยิ่ง ทะนงแต่ร้อนแรงกว่า มักได้มาจากกลิ่นดอกไม้แรง ๆ เช่น ไฮยาซินท์ ราตรี นางกวัก ไม้กระวาน กระดังงา ไลแล็ก มิโมซา โบตั๋นขาว ผกากรองหอมและเครื่องเทศแรง ๆ บางชนิด จะทำให้เกิดความรู้สึกเร่งเร้า เข้มข้น รุนแรง และลึกลับ น่าค้นหา
4. กลิ่นหอมเย็นของดอกไม้ พรรณพฤกษา บอกถึงพลังอิสระ เช่น กลิ่นหอมซาบซ่านของ มะนาว มะกรูด มะกรูดอิตาเลี่ยน มินต์ บัวส์เดอโรส น้ำมันพริกไทยดำ ส้มซ่า เฟิร์นหอม เพราะเป็นกลิ่นหอมของสีเขียว จึงให้กลิ่นที่หอมเย็น ให้ความรู้สึกมีชีวิตชีวา สดชื่น มักเป็นกลิ่นของผู้ชาย และผู้หญิงแกร่งเก่งและกล้า
5. กลิ่นของความเสน่หา เป็นกลิ่นที่มีความหอมฉุน อบอวลให้ความรู้สึกที่ลึกล้ำ หอมชวนคลั่งไคล้ร้อนแรง มักได้จากกลิ่นหอมที่มีส่วนผสมของเครื่องเทศ เช่น ขมิ้น กำยาน ยางสน หรือกลิ่นอำพัน กลิ่นชะมด เพราะเป็นกลิ่นที่เร้าใจ เรียกร้องให้ไขว่คว้า
 ความหอมมาจากไหน 1. คุณรู้หรือไม่ว่า พืชแต่ละชนิดมีส่วนที่นำมาสกัดสารหอมไม่เหมือนกัน อาทิ เช่น - กุหลาบ - จากดอก - เจอราเนียม - จากใบและลำต้น - โรสแมรี่ - จากใบ - มะกรูด - จากผล - เบอร์กามอท - จากใบ - อัลมอนด์ - จากเม็ด - ไม้สน - จากเปลือกและต้น - ไวโอเลต - จากดอกและลำต้น - วนิลลา - จากผล
2. กุหลาบตระกูลดีที่นำมาผลิตน้ำมันหอมระเหย ต้องมาจาก 2 แห่งนี้ - กุหลาบชมพูจากอียิปต์ (โรส เดอ เมย์) มักออกดอกในเดือนพฤษภาคม - กุหลาบบัลกาเรียน จากหุบเขาในเมืองกาชานลุก ประเทศบัลกาเรีย
3. ดอกกระดังงา (อีแลง-อีแลง-Ylang-Ylang) พันธุ์ดีที่เหมาะสำหรับทำน้ำมันหอม ต้นมาจากหมู่เกาะมาดากัสการ์ ในมหาสมุทรอินเดีย
4. พืชตระกูลมินต์ และตระกูลเบอร์การ์มอท ต้องมาจากฝั่งคาเลเบียนทางใต้ของอิตาลี จึงจะดี
5. พืชตระกูลขิง ไม้จันทร์ ต้องมาจากเอเชีย เช่น จากอินเดีย
6. ยางสนตระกูลดี ต้องมาจาก ฟินแลนด์
7. คุณรู้หรือไม่ว่า กว่าจะได้น้ำมันหอมระเหยแต่ละหยด ต้องใช้ ดอก ใบ ลำต้น ฯลฯ เป็นจำนวนมหาศาล น้ำมันหอมกลิ่นกุหลาบหนัก 1 ปอนด์ ต้องใช้กลีบกุหลาบถึง 100 ล้านกลีบ หรือ กุหลาบ 2000 กิโลกรัม จะได้น้ำมันหอม เพียง 1 กิโลกรัมเท่านั้น น้ำมันหอมกลิ่นมะลิ หนัก 1 กิโลกรัม ต้องใช้ดอกมะลิถึง 4 ล้านดอก น้ำมันหอมไธม์ หนัก 1 กิโลกรัม ต้องใช้ไธม์ถึง 400 กิโลกรัม น้ำมันหอมเนโรลิ (Neroli) หนัก 1 กิโลกรัม ต้องใช้ ดอกส้ม ถึง 6 ตัน
อโรมา-เอราปี เป็นเรื่องของการเอาเรื่องของกลิ่นหอม มาดูแลรักษาเยียวยาสุขภาพ เช่น ถ้านอนไม่หลับ ก็สามารถใช้น้ำมันหอมระเหยตามกลิ่นที่แต่ละคนชอบ กลิ่นแต่ละกลิ่น จะมีปฏิกิริยากับแต่ละคนไม่เหมือนกันอยู่ที่จะชอบกลิ่นไหน ในคุณสมบัติของกลิ่น จะแยกเป็นกลุ่ม ๆ เช่น เรื่องการนอนไม่หลับนี้ สามารถเลือกได้จาก กลิ่นแมนดาริน (กลิ่นส้ม), กลิ่นกุหลาบ (โรส), กระดังงา (อีแลง อีแลง), จัสมิน (มะลิ), ผิวส้ม หรือเลมอนกราสส์ ที่จริงในต่างประเทศจะมีวิธีทดสอบทางเคมีว่า แต่ละคนจะเหมาะกับกลิ่นอะไรโดยใช้การเทส แต่วิธีที่สามารถทำได้ก็คือ ทำย้อนกลับกัน คือให้เลือกกลิ่นที่ชอบเอาเองเพราะกลิ่นที่เราดมแล้วหอมก็คือใช่ ถ้าดมแล้วฉุน หรือเหม็นก็แสดงว่าไม่ใช่ หลักการง่าย ๆ แบบนี้ ลองทำกันดูนะคะ..
ข้อมูลหนังสืออ้างอิงประกอบการเขียน Dr.Tony Smith The British Medical Association - Family Doctor - Home Adviser, Dorling Kindersley, London, 1994. Family Guide to Nature Medicine, Readers Digest 1993 Dr.Stephen Carroll, Dr.Tony Smith The Complete Family Guide to Healthy Living, Dorling Kindersley, London, 1992 นิตยสารสารคดี ฉบับที่ 154 ปีที่ 13 เดือน ธันวาคม 2540 นิตยสาร ELLE ฉบับที่ 43 เดือนพฤษภาคม 2541 เอกสารอโรมาเธราปี The Body Shop เอกสารน้ำมันหอมระเหย To Nuture [ที่มา..นิตยสาร fitness ปีที่ 10 ฉบับที่ 103]
รูปภาพประกอบ จากเว็บ
|