น้ำหอมยิปซี คือ..?
ฉันเป็นคนหนึ่งที่สนใจใคร่รู้เกี่ยวกับสิ่งลึกลับ โหรศาสตร์แขนงต่างๆ รวมถึงธรรมะ ศาสนา และปรัชญาต่างๆ โดยหาอ่านจากตำรา เว็บไซด์ รวมถึงถามผู้รู้ และศึกษาด้วยตนเอง
ก่อนอื่นต้องอธิบายความหมายของ ยิปซี และวิคคาในที่นี้ก่อน เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน กลัว และไม่เข้าใจ
คำว่า "ยิปซี" (gypsy) ถ้าจะเรียกให้ถูก เรียกว่า "พวกโรมานี" เป็นชนเผ่าเร่ร่อน ผู้ถูกกล่าวขานว่า รอบรู้ทางด้านศาสตร์แห่งการทำนายและแตกฉานด้านสมุนไพร
มายิก (magic) หรือ ไสยเวท ศาสตร์ความเชื่อต่างๆ มีมาแต่ก่อนคริสตกาล ไม่ใช่สิ่งเหนือธรรมชาติที่แหกกฏธรรมชาติ ไม่ใช่ศาสตร์ที่ใช้เรียกชุมนุมปีศาจอย่างที่หลายท่านอาจเคยเข้าใจผิด แต่คือการฝึกพัฒนาแห่งจิตภายในซึ่งยากจะเห็น (คล้ายๆ กับการฝึกสมาธิจนถึงขั้นระดับสูง) มายิกจะเกี่ยวข้องกับการใช้พลังธรรมชาติ เพื่อเปลี่ยนแปลงการรับรู้ภายในของเราเอง เพื่อค้นหาสิ่งที่ทำให้เป็นทุกข์ และมอบความเชื่อมั่น กล้าหาญ ความสงบ ศรัทธา เมตตา เข้าใจ หรืออารมณ์ให้กับคุณ
ไสยเวท ศาสตร์ความเชื่อต่างๆ รวมถึงความรู้ของยิปซี ไม่ใช่อภินิหาร และไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ทำงานได้จริง สิ่งที่เรานำมาใช้ในที่นี้ เรียกว่า "มนต์ขาว" เราไม่ได้ชักจูงให้คุณเชื่อ งมงาย หรือเปลี่ยนศาสนา ไม่ได้ชวนให้คุณร่วมในสิ่งที่ผิดศิลธรรมและอันตราย หากแต่อยากให้คุณลองและพิสูจน์ด้วยตนเอง ว่าเป็นศาสตร์ที่ดี ไม่มีจุดประสงค์เพื่อทำร้ายใคร เพราะจุดประสงค์ของเรา คือ การอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข สมัครสมานสามัคคี และมอบความรักให้แก่กัน
การเพิ่มเสน่ห์และเป็นเครื่องรางในที่นี้ เป็นเพียงเพื่อให้คุณเป็นที่ดึงดูด น่าสนใจ และชักนำให้สิ่งดีๆ ต่างๆ รวมถึงความปราถนาดีมาสู่คุณ มันไม่ใช่ปาฏิหาร และไม่สามารถทำใครตกเป็นทาส หรือบังคับให้ใครมารักคุณได้ ถ้าเขาไม่ปราถนา หรือถ้าไม่ใช่คู้แท้ของกันและกัน ทิศทางความสัมพันธ์นั้นขึ้นอยู่กับคุณและคนใกล้ชิดล้วนๆ จงอย่าใช้ในทางที่ผิดศิลธรรม หรือทำให้ใครเดือดร้อน หรือใช้กับคนที่มีเจ้าของแล้ว เพราะนั้นคือบาป และคุณอาจได้รับผลตอบแทนกลับมาเป็นสามเท่า อันเป็นกฏแห่งสามของวิคคา เหมือนดังกฏแห่งกรรมที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้
กล่าวถึงเรื่องธรรมะ และศาสนา การนำมาใช้ของเราในที่นี้ คือ การสวดมนต์ในบทต่างๆ ที่เราสรรหามา เป็นการรวมจิต สมาธิ ภวนา อธิฐาน เพื่อแบ่งปันแด่สรรพสิ่ง ด้วยการนึกถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงค์ รวมถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ บิดา มารดา ครูบาอาจารย์ เจ้ากรรมนายเวร ให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้นเมตตาต่อดวงชะตาของท่าน ผู้ที่ "คิดดี ทำดี พูดดี" ด้วยหลักการ ทำดีได้ดี
การนำความรู้เกี่ยวกับสมุนไพร ว่าน และดอกไม้ต่างๆมาใช้ ด้วยประเทศไทยเป็นดังแหล่งทรัพยากรที่อุดมไปด้วย พืช สมุนไพร และไม้ดอกต่างๆ มากมาย รวมถึงเครื่องหอมไทย ภูมิปัญญาแต่โบราณ ความหอมดังเอกลักษณ์ ที่เราชอบ หลงไหล และอยากเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยสืบสาน มิให้ถูกหลงลืม เราจึงพยายามเรียนรู้ ทดลอง เพื่อที่จะพัฒนา และนำมาปรับใช้ให้เข้ากับยุคปัจจุบัน เช่น การปรุง การอบ การรำ ฯลฯ
และด้วยแนวคิด อันเนื่องมาจากประเทศไทยเป็นเมืองร้อน ทำให้เหงื่ออกเยอะ จนเกิดปัญหากลิ่นตัวอันไม่พึงประสงค์ เราจึงคิดค้นสูตรเฉพาะของร้าน ที่ช่วยให้กลิ่นเหงื่อที่ต้องเบือนหน้าหนี กลายเป็นกลิ่นหอมที่ทำให้ใครๆ ต่างก็อยากชิดใกล้ ซึ่งจะกลายเป็นกลิ่นเฉพาะบุคคลที่ไม่เหมือนใคร เพราะฟีโรโมนของมนุษย์มาจากหงื่อนั้นเอง
น้ำหอมยิปซี จึงเป็นดังน้ำหอม กลิ่นส่วนตัว ที่แม้คนจะใช้กลิ่นเดียวกัน แต่กลิ่นที่ได้จะไม่เหมือนกัน โดยกลิ่นแรกที่ดมจากขวดจะเป็นกลิ่นหนึ่ง ต้องทาหรือฉีดที่ผิวเท่านั้นจึงจะได้กลิ่นที่แท้จริง และเมื่อผู้ใช้มีเหงื่อออกก็จะกลายเป็นอีกกลิ่นหนึ่ง โดยกลิ่นจะปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อม อารมณ์ อาหาร เครื่องดื่ม และอากาศ และเมื่อผู้ใช้อธิฐานน้ำหอมจะจำว่าคุณคือเจ้าของ ฉะนั้นจึงไม่ควรใช้ร่วมกัน เป็นดังน้ำหอมสูตรส่วนตัว
ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นที่มาของน้ำหอมยิปซี น้ำหอมอโรม่าร่วมสมัย ที่ช่วยเสริมเสน่ห์ และนำพาสิ่งดีๆ มาสู่คุณ
11/1/2015
/////////////////////////////////////////////////////////////////////
ต้นกำเนิดของน้ำหอม ใช้ในราชวงศ์ชั้นสูง หรือการประกอบพิธีกรรมแต่โบราณ อันเป็นตัวแทนของธาตุลม หรือเครื่องรางปกป้อง ในการทำเครื่องหอม ถุงหอม ที่ไม่ใช่แค่ของแทนใจ แต่ทรงคุณค่า และประโยชน์มากมาย
หลักฐานที่ค้นพบและหาได้คือ ของอียิปต์ ที่มักใช้น้ำมันหอมในการทำมัมมี่ ฝังพระศพ ทำพิธีขอพรเทพและเทพี หรือพิธีราชาภิเษก ฯลฯ น้ำหอมจึงถูกจัดในลักษณะเครื่องหอมมงคล และถือเป็นของล้ำค่า มาแต่โบราณ รวมถึงบุหงา ที่ทำจากดอกไม้สดแล้วนำมาทำดอกไม้แห้งอย่างพิถีพิถันก็เช่นกัน ซึ่งมักพบได้ในรูปแบบของถุงโมโจ ที่เกี่ยวกับการรักษา เช่น เซจมัดตากแห้ง ที่เอาไว้ใช้เผาเพื่อชำระล้างเชื้อโรค หรือฆ่าแมลงในห้องของผู้ป่วย (ในสมัยโบราณ)
น้ำหอมยิปซีที่ร้านคิดค้นและพัฒนา คือ น้ำหอมที่ใช้วิธีการปรุงแบบร่วมสมัย ที่เบลนด์กลิ่นตามแรงบันดาลใจทางเวทมนตร์และสรรพคุณทางยา (อโรม่าบำบัด) แล้วจึงนำหัวน้ำมันหอมที่เบลนด์ได้ มาปรุงเป็นน้ำหอมสูตรน้ำ หรือสูตรอื่นๆ แล้วบ่มในอุณหภูมิที่เหมาะสม ไม่ต่างกับเบียร์คราฟท์ ไวน์ หรือผักดองชั้นดี ถึงต้องหาเวลาที่เหมาะสมในการบ่ม เพื่อให้ได้แต่ละกลิ่น
ซึ่งบางกลิ่นต้องแจ้งให้ทราบว่า สามารถปรุงได้แค่ครั้งเดียวในชีวิต เพราะเป็นกลิ่นที่เกิดจากแรงบันดาลใจและเรื่องราว ในแต่ละช่วงเวลา เราอาจจะทำน้ำหอมใหม่ได้ใกล้กลิ่นเดิม แต่ก็ไม่เคยเหมือนเดิม เพราะไม่ใช่แค่เรื่องราวแตกต่างออกไป นี้คือสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์อีกแบบหนึ่งของน้ำยิปซีร้านเราค่ะ
สิ่งที่คุณจะได้สัมผัส คือเรื่องราวที่มากกว่าความหอม
ด้วยเรา "ปรุงด้วยความหวัง ปรุงตามข้างใน ปรุงตามเสียงหัวใจ มอบให้แด่คุณ"
ขอบคุณค่ะ
By Luzchanna@VMM 6/12/61
/////////////////////////////////////////////////////////////////////
มีลูกค้าหลังไมค์มาถามว่า
น้ำหอมยิปซี คือ อะไร
การอธิษฐานก่อนใช้ คือ อะไร
อะไรคือคอนเซ็ปต์
อะไรคือเรื่องราวที่ซ่อนอยู่
สูตรแต่ละสูตรต่างกันยังไง
ใช้ทำอะไรได้บ้าง
มีเปิดสอนไหม
จากนี้ก็ขอลงบทความให้ อาทิตย์ละบท ทุกวันพฤหัสตามความสะดวกละกันนะ (ยึดวันครู เพราะร้านเริ่มต้นจากน้ำหอมนะคะ ครูคนแรกของแม่ค้า ก็ยังเป็นพ่อแม่อยู่นะ แต่ครูคนแรกของร้านที่เป็นแรงบันดาลใจ คือ น้ำหอม น้ำอบ น้ำปรุงค่ะ)
เปิดบทความแรก ด้วยคำของครู
******************************
Perfume is Life
ครูสอนไว้ว่า จำไว้นะ
"กลิ่น เปรียบได้กับ การมีชีวิต ตราบใดที่เรายังหายใจ เราย่อมได้กลิ่นต่างๆ จากลมหายใจ แม้แต่กลิ่นที่อยู่ในปากของเรา เมื่อได้ลิ้มรสอาหาร มันไม่ใช่แค่รสพื้นฐาน แต่มันคือรสของกลิ่น ของอาหารชนิดนั้นๆ"
เช่น วิตามินส้ม หรือยาน้ำสำหรับเด็ก ถูกสร้างมาเพื่อให้ทานง่าย หรือผ่อนคลาย เพื่อชำระความรู้สึกที่ต้องกินยา (จากประสบการณ์โดยตรงของแม่ค้า แม่ค้าเป็นคนกินยายากตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะยาน้ำหรือยาเม็ด แม่ค้าอยู่กับยามาตั้งแต่เด็ก ขาดสารอาหาร กินขนมไม่ได้ ลุงหมอห้าม จ่ายแต่ยาบำรุงเลือด โตแล้วก็ยังต้องกิน ก็จะได้วิตามินส้มแถมมาเป็นตัวหลอกล่อประจำ)
แม่มดส่วนใหญ่ ให้ความสำคัญกับชีวิต ธรรมชาติ หรือฤดูกาล ฉะนั้นจึงชอบจัด งานเทศกาล งานเฉลิมฉลอง งานรื่นเริง จัดพิธีกรรมในฤดูกาล หรือแม้แต่วันพระจันทร์เต็มดวง ฯลฯ
แม่มดในต่างประเทศโดยส่วนใหญ่ จะชอบกลิ่นที่สะอาด สบาย กลิ่นอาหารที่สดใหม่ จากเตาอยู่เสมอ เพราะมันคือสิ่งที่แสดงถึงการมีชีวิตและการเฉลิมฉลอง รวมถึงการให้คุณค่ากับความสุข ที่เรียบง่ายแต่ไม่ธรรมดา
ฉะนั้น น้ำหอมจึงไม่ใช่แค่น้ำหอม ไม่ได้มีบทบาทแค่พิธีกรรม แต่มันคือ ชีวิต Life อีกมุมหนึ่งของแม่มดนั้นเอง
จบ.
พบกันใหม่พฤหัสหน้า สวัสดีค่ะ
By Luzchanna @VMM 13/12/61
เรามาทำความรู้จักกับน้ำมันหอมระเหยกันก่อนค่ะ
น้ำมันหอมระเหย (Essential Oil) คืออะไร ?
น้ำมันหอมระเหย เป็นผลิตผลจากการสกัดพืชสมุนไพรนานาชนิด ซึ่งอาจสกัดมาจากส่วนใดส่วนหนึ่งของพืชนั้น เช่น สกัดมาจาก ผล ดอก ใบ เมล็ด เปลือก ก้าน ฯลฯ
วิธีการสกัดที่นิยมใช้ในปัจจุบัน คือ การกลั่นด้วยไอน้ำ และการใช้สารเคมีเป็นตัวทำลาย หลังจากการสกัดน้ำมันหอมระเหยที่ได้จะถูกนำมาสังเคราะห์ เพื่อกลั่นแยกหาสารต่างๆ ที่มีกลิ่นหอม สารเหล่านี้เองที่จะถูกนำมาคัดเลือก ผสมผสานและสร้างขึ้นมาเป็นกลิ่นใหม่ๆ
การสร้างสรรค์ให้ได้กลิ่น โดยปกติแล้ว มี 3 ขั้นตอน คือ
1.สกัด
2.สังเคราะห์
3.ประกอบสร้างขึ้นใหม่
รู้หรือไม่ว่า หัวน้ำหอมหรือน้ำมันหอมระเหย ปัจจุบันนี้ มีทั้งกลิ่นจากธรรมชาติ และเคมีสังเคราะห์ค่ะ
นับตั้งแต่ นักเคมีชาวอังกฤษ เซอร์วิลเลี่ยม เฮนรี เบอร์กิน ได้สกัดกลิ่นหอมจากสารเคมีขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อปี ค.ศ.1863 จนถึงทุกวันนี้ ทำให้มีสารกลิ่นหอมที่ได้จากการสังเคราะห์สารเคมี อยู่มากกว่า 4,000 ชนิด (ส่วนกลิ่นที่สกัดจากพืชธรรมชาติ มีมากกว่า 2,000 ชนิด และพบในประเทศไทย ประมาณ 400 ชนิดและกลิ่นหอมที่ได้จากสัตว์มีเพียง 4 ชนิด)
กลิ่นหอมกลิ่นแรกที่คิดค้นได้เป็นกลิ่นที่คล้ายกับกลิ่นอัลมอลด์ ซึ่งเป็นกลิ่นไนโตรเบนซิน ได้มาจากสารสังเคราะห์ จากกรดไนตริกและเบนซิน ต่อมาก็มีการคิดค้นกลิ่นต่างๆ อีกมากมาย
แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า ไหนธรรมชาติ ไหนสังเคราะห์?
ตอบตามตรงว่า ไม่ยากและไม่ง่าย เพราะการเลียนกลิ่นในปัจจุบันได้พัฒนาไปมาก ขนาดที่ว่า นักปรุงน้ำหอมเก่งๆ บางท่านดมแล้วยังไม่แน่ใจ ในการแยกกลิ่นเลยค่ะ แถมกลิ่นในแต่ละที่แต่ละเจ้าก็ต่างกัน หรือต่อให้เป็นเจ้าเดียวกันก็ตาม สำหรับน้ำมันหอมระเหยแท้ที่สกัดจากพืชธรรมชาติ 100% เพราะดิน ฟ้า อากาศในการปลูก และเก็บเกี่ยวผลผลิต รวมไปถึงกรรมวิธีการสกัด ล้วนมีผลทำให้กลิ่นที่สกัดไม่คงที อาจเปลี่ยนแปลงหรือไม่เหมือนเดิมได้ ต่างจากกลิ่นที่สังเคราะห์ หรือประกอบสร้างใหม่ ที่จะมีความคงที่ แน่นอนไม่เปลี่ยนแปลงค่ะ (กรณีแหล่งผลิตมาจากที่เดียวกัน)
การแยกแยะที่ดีที่สุดวิธีหนึ่ง คือ การได้เรียนรู้ว่ากลิ่นที่แท้จริงของน้ำมันหอมระเหยจากธรรมชาตินั้น มีกลิ่นแบบใดและมีคุณลักษณะต่างๆ อย่างไร เช่น น้ำมันหอมระเหย Rose Absolute จะมีสีแดงเข้ม กลิ่นเบานุ่มนวลของกุหลาบ แต่ Rose Otto จะมีสีเหลืองใสและกลิ่นแหลมเบากว่ามาก ในขณะที่ Rose Fragrance จะมีสีเหลืองใสและกลิ่นหอมกุหลาบค่อนข้างทึบหนัก (แต่กว่าจะสะสมประสบการณ์ได้กระเป๋าคงแบนเพราะราคาของแท้ไม่เบาหรอกนะ โดยเฉพาะพวกกุหลาบ, มะลิ)
สำหรับมือใหม่ถ้าให้ง่ายสุด ก็คือ พึ่งดวงในการเลือกร้าน.... (ล้อเล่น) พึ่งการอ่านค่ะ อ่านฉลากให้ดี โดยมีข้อสังเกตดังนี้
1. น้ำมันหอมระเหยแท้ สกัดจากพืชธรรมชาติ 100% จะมีฉลากภาษาอังกฤษว่า Pure Essential Oil และมีราคาที่แตกต่างกันออกไปตามแต่ละชนิด ส่วนใหญ่มักมีราคาแพง เช่น น้ำมันหอมระเหย ดอกกุหลาบดามัส มีราคาประมาณ 475,000 บาทต่อ 1 ลิตร นั่นเป็นเพราะต้องใช้ดอกกุหลาบกว่า 3 ตัน เพื่อที่จะสกัดให้ได้ 1 ลิตร
2. น้ำมันหอมระเหยที่ระบุว่า Essential Oil นั้นอาจจะแท้แต่ไม่ 100% บางที่อาจผสมตัวทำละลายที่เหมาะสม หรือเบสอื่นๆ (กรณีนี้ยังพอใช้ในทางอโรมาได้ ขึ้นอยู่กับการใช้งาน) แต่หากผสมจากน้ำมันหอมระเหยราคาถูก ทางอโรมาอาจใช้ได้แต่คุณสมบัติจะเพี้ยน ราคามักอยู่ที่หลักพันถึงหลักหมื่นบาทต่อลิตร
3. น้ำมันหอมสังเคราะห์ Fragrance Oil เคมีแท้แน่นอนถ้าเจอคำนี้ ให้รู้ไว้ว่านี้คือ กลิ่นสังเคราะห์จากเคมีต่างๆ ราคาอยู่ที่หลักพันบาทต่อลิตร ซึ่งหากนำมาใช้ทางอโรมาแล้วอาจตกค้างและไม่ดีในระยะยาวค่ะ
แล้วถ้าบนฉลากไม่มีบอกหล่ะ ดูยังไง?
ให้ดูที่ลักษณะและสีค่ะ น้ำมันหอมระเหย(Essential oil) จะมีสถานะเป็นของเหลว ใส ไม่ละลายน้ำ ปกติจะระเหยได้ง่ายที่อุณหภูมิห้อง และไม่มีคราบตกค้างหลงเหลือเหมือนกับไขมัน ยกเว้นตระกูลเปลือกไม้ แบบ Pure Essential oil ที่ส่วนใหญ่จะเป็นของเหลวที่เหนียวหนีดข้น และมีสีเข้ม ต้องผสมตัวทำละลายจึงจะเหลวหรือนำมาใช้งานได้ ส่วนพวกที่เนื้อเหลวๆ มีสีฟ้า แดง เขียว ส้ม ฟรุ้งฟริ้ง (ที่แบ่งขายขวดเล็กๆ) พวกนี้คือ ผสมมาแล้วทั้งนั้นค่ะ
อย่างไรก็ตาม การเลือกใช้แต่ละแบบล้วนขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของแต่ละตัวบุคคล ซึ่งควรศึกษาข้อเท็จจริงและใช้วิจารณญาณมาประกอบกัน ทั้งในเรื่ององค์ประกอบทางเคมี ธรรมชาติของการออกฤทธิ์ กลิ่น ความเป็นพิษ หรือแม้แต่คุณสมบัติทางเวทมนตร์ ฯลฯ ซึ่งจะเป็นอย่างไรนั้นก็ติดตามกันต่อไปได้ในสัปดาห์หน้าค่ะ (วันนี้ยาวแล้ว พอก่อนเน๊อะ)
ขอบคุณค่ะ
By Luzchanna@VMM 20/12/61
//////////////////////////////////////////////
วีคนี้เรามาดูวิธีการนำไปใช้ และการแยกประเภทตามแนวกลิ่นกันค่ะ
การแยกประเภทมีหลายแบบ เช่น แยกตามแนวกลิ่น, แยกตามชนิด, แยกตามคุณสมบัติและการใช้งาน ฯลฯ การจำแนกที่แม่ค้ายกมาให้ (ตามภาพ) คือตัวอย่างการจำแนกที่แบ่งตามแนวกลิ่นค่ะ ชื่อที่ระบุไว้ คือ หัวน้ำมันหอมที่เป็นรู้จักกันในวงการของนักปรุง ที่มีทั้งหาได้ง่าย (ทั่วไป) และหาได้โดยยาก (มีขายเฉพาะในวงการและมีราคาสูงมากค่ะ)
การนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน
สำหรับวิธีการใช้น้ำมันหอมระเหยไม่ว่าจะเป็น เพื่อการผ่อนคลาย เพื่อความงามหรือดูแลรักษาผิว หรือทางการรักษาอาการเจ็บป่วยก็ดี จำต้องใช้อย่างระมัดระวัง และสำหรับหัวน้ำมันหอมทุกชนิด ไม่ควรใช้ทาผิว สัมผัสผิวโดยตรงหรือสูดดมโดยตรง เพราะอาจเกิดอันตรายหรือแพ้ได้ โดยเฉพาะในส่วนที่บอบบาง เช่น ขอบตา ริมฝีปาก ใบหู หรือส่วนอื่น ๆ ควรเจือจางน้ำมันหอมระเหยให้อยู่ในอัตราส่วนไม่เกิน 5% หรือไม่เกิน 1% สำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย
ตัวอย่างเช่น น้ำมันหอมระเหยในตระกูล Citrus อย่าง ส้ม มะกรูด มะนาว ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดหลังจากการใช้เป็นเวลา 1-2 ชั่วโมง เพราะอาจทำให้เกิดอาการ phototoxic หรือการระคายเคืองอันเนื่องมาจากการทำปฏิกิริยาของน้ำมันหอมระเหยกับแสงแดด
และไม่ควรใช้น้ำมันหอมระเหยในการบำบัดรักษาอาการเจ็บป่วยโดยขาดความรู้ ความเข้าใจในข้อมูลที่สำคัญ และสิ่งที่สำคัญที่สุด ห้ามใช้น้ำมันหอมระเหยด้วยการรับประทานหรือรักษาภายในด้วยการทานเด็ดขาด เว้นเสียแต่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ
วิธีนำไปใช้หลัก ๆ ได้แก่ การสูดดม, การหยดใส่ผสมน้ำอาบ แช่ตัว, ผสมในน้ำมันนวดตัว, การประคบร้อนและเย็น , การกระจายกลิ่นในอากาศ, การผสมในเครื่องสำอาง โลชั่น หรือครีมบำรุงผิว
อีกทั้งยังนำไปเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์สปาต่าง ๆ เพื่อการใช้งานที่หลากหลายยิ่งขึ้น เช่น ผสมในเกลือขัดตัว หรือผสมในเกลือสปาเม็ดสำหรับใช้แช่ในอ่างอาบน้ำ ผสมในแชมพูเพื่อบำรุงเส้นผมและหนังศีรษะ หรือผสมในสบู่เหลวสำหรับอาบน้ำ เป็นต้น ปริมาณการใช้น้ำมันหอมระเหยเพื่อผสมกับครีม โลชั่น หรือน้ำมัน Carrier Oil ต่าง ๆ คือ 2-5% สำหรับผิวกาย, 1-2% สำหรับผิวหน้า และไม่ควรเกิน 1% สำหรับผิวเด็กหรือผู้แพ้ง่าย
ตัวอย่างเช่น
- หยด Peppermint, Rosemary หรือ Geranium 2-3 หยดในอ่างน้ำร้อนเวลาอาบน้ำตอนเช้า ช่วยให้สดชื่นตื่นตัวและคลายความง่วงนอน
- สูดดม Geranium, Rosemary ระหว่างทำงานเพื่อช่วยคลายเครียด คลายอาการล้าและง่วงนอนให้สดชื่นตื่นตัว ช่วยให้ทำงานได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
- กระจายกลิ่น Lavender, Roman Chamomile ในห้องนอน หรือ 2-3 หยดระหว่างอาบน้ำตอนเย็น จะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายหายเหนื่อยหลับสบายขึ้น
- นวดน้ำมันหรือโลชั่นที่มีส่วนผสมของ Rosemary 1-2 หยดเพื่อคลายอาการปวดกล้ามเนื้อจากการเดินทางไกล หรือก่อนและหลังจากการเล่นกีฬา
ไม่ว่าจะใช้ในทางใด หรือวิธีใดก็ตาม ควรทดสอบอาการแพ้เสียก่อน โดยหยดน้ำมันหอมระเหยลงบนสำลี แล้วแต้มที่บริเวณข้อมือหรือข้อพับแขน แล้วปล่อยทิ้งไว้สังเกตุการณ์ประมาณ 12 ชั่วโมง ถ้ามีอาการคันหรือผื่นแดงขึ้น แสดงว่าอาจมีอาการแพ้น้ำมันหอมระเหย จึงควรหลีกเลี่ยงน้ำมันหอมระเหยชนิดนั้น ถ้ามีอาการแสบและคันมาก ให้ใช้น้ำมัน Sweet Almond หรือน้ำมันมะพร้าว ทาบริเวณที่คัน แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น
.
.
วันนี้ก็ยาวแล้ว ฉะนั้น พบกันใหม่ วีคหน้านะคะ
สวัสดีค่ะ
by Luzchanna @VMM 3/1/62
ช่วงนี้ข่าวฝุ่นเยอะ ก็ดูแลตัวเองกันดีๆ ค่ะ
ขนาดแม่ค้าอยู่บ้าน ไม่ค่อยไปไหนยังไม่รอด เมื่อวานภูมิแพ้กำเริบ นอนตายคาเตียงทั้งวัน ก่อนนี้ตื่นเช้าก็ว่าทำไมอากาศนอกบ้านมันมัวๆ (ไม่ค่อยได้ดูข่าวนะ เพิ่งรู้เรื่องว่าฝุ่นมา เข้าใจว่าหมอกนะ...เอิ่ม..)
วันนี้เลยมาแนะนำ 4 กลิ่น น้ำมันหอมระเหย (essential oil) ที่ช่วยในการบรรเทาโรคภูมิแพ้เบื่องต้นให้ค่ะ
1. น้ำมันหอมระเหยจากลาเวนเดอร์ (Lavender oil)
ช่วยต่อต้านอาการอักเสบ ในน้ำมันลาเวนเดอร์นี้มีสารต้านฮิสทามีนในร่างกายที่จะสร้างและหลั่งออกมาเมื่อคุณเกิดอาการแพ้ จึงเหมาะในการใช้งานในขณะที่ร่างกายเกิดปฏิกิริยาแพ้อยู่ อีกทั้งยังทำให้ร่างกายและจิตใจของคุณสงบยิ่งขึ้น
วิธีใช้ เมื่อใดที่คุณรู้สึกถึงอาการแพ้สามารถนำน้ำมันลาเวนเดอร์ถูที่ฝ่ามือเพื่อนำมาอังใกล้บริเวณรูจมูก และค่อยๆ สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ หรือจะหยดใส่สำลีก้อนและนำมาดมในช่วงเวลาที่คุณเกิดอาการแพ้ก็จะช่วยบรรเทาความอึดอัดและไม่สบายได้ค่ะ
2. น้ำมันหอมระเหยจากดอกโหระพา (Basil oil)
มีสรรพคุณป้องกันการอักเสบที่จะช่วยให้ร่างกายต่อสู้กับภูมิแพ้ต่างๆ ความเจ็บป่วยและอาการอ่อนเพลียได้ดียิ่งขึ้นด้วยการขับสารพิษ แบคทีเรีย และเชื้อไวรัสออกจากร่างกาย ผลงานวิจัยพบว่าน้ำมันหอมระเหยจากโหระพายังมีสรรพคุณช่วยต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรายีสต์ที่อาจเป็นตัวการก่อให้เกิดโรคหอบหืดได้อีกด้วย
วิธีใช้ เพียง 2-3 หยดเจือจางในน้ำมันมะพร้าวก่อนจะนำมาทาบริเวณทรวงอกหลังคอ และขมับ เพื่อเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและอาการอักเสบ
3. น้ำมันหอมระเหยทีทรี (Tea tree oil)
มีประสิทธิภาพในการกำจัดเชื้อโรคในอากาศที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ ฉีดสเปรย์น้ำมันทีทรีภายในบ้านของคุณก็จะช่วยกำจัดเชื้อรา แบคทีเรีย ที่แอบซ่อนอยู่ตามผนังและเฟอร์นิเจอร์ได้ นอกจากนี้ยังช่วยบรรเทาอาการระคายเคืองผิวหนังได้เนื่องจากมีสรรพคุณต่อต้านเชื้อโรคเช่นเดียวกัน
วิธีใช้ นำน้ำมันทีทรีทาลงบนผิวหนังบริเวณที่เกิดผื่นคัน หรือผึ้งต่อย คุณสามารถนำไปผสมกับน้ำมันมะพร้าวก็ได้เช่นเดียวกันหากมีผิวพรรณบอบบาง ง่ายต่อการแพ้
4. น้ำมันหอมระเหยเลมอน (Lemon oil)
สามารถช่วยส่งเสริมระบบต่อมน้ำเหลืองในการรักษาโรคระบบทางเดินหายใจ อีกทั้งยังช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียในร่างกาย และเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
วิธีใช้ นำไปผสมควบคู่กับผลิตภัณฑ์ซักผ้าและนำไปผสมกับน้ำสะอาดเป็นสเปรย์กำจัดแบคทีเรียที่แอบซ่อนอยู่ตามผ้าม่าน โซฟาหรือพรมภายในบ้านของคุณนั่นเอง
นอกจากวิธีดังกล่าว ยังสามารถนำน้ำมันหอมระเหยมาผสมน้ำอาบ ผสมในเทียนหอม ใช้ผสมในน้ำมันนวดตัว ,หยดลงไปสักเล็กน้อยลงบนหมอนในเวลากลางคืน หรือหยดไว้ที่เตาน้ำมันหอมระเหยเพื่อกระจายกลิ่นไปทั่วบริเวณห้องนอนด้วยก็ได้
ข้อพึงระวังคือ
1. ห้ามรับประทานน้ำมันหอมระเหยชนิดเข้มข้นและระวังอย่าให้เข้าตา ต้องทำให้เจือจางก่อนนำมาทาผิวหนัง ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ผิวหนังและลมพิษห้ามทาเด็ดขาด เพราะแอลกอฮอล์ที่เป็นส่วนผสมในน้ำมันหอมระเหยอาจทำให้อาการแพ้กำเริบได้
2. ผู้ที่มีอาการแพ้ระหว่างการใช้น้ำมันหอมระเหยควรหยุดใช้ทันที
3.ควรสอบถามความเห็นแพทย์และผู้เชี่ยวชาญด้านอโรมาเทอราพีก่อนใช้น้ำมันหอมระเหย
ปล. เอารูปหมอกของจริงที่แสนเย็นสบายมาให้ดูเล่น ว่าแล้วก็อยากจะหนีเข้าป่าอีกจังน้า
By VMM 16/1/62
วันนี้จะม
น้ำมันหอมละเหยลาเวนเดอร์มี
แต่รู้หรือไม่ว่า Pure Natural Essential Lavender Oil นั้นมีฤทธิ์แรงมากๆ ถึงขนาดสามารถกล่อนสารคาร์บ
ฉะนั้นก่อนใช้จึงควรเจือจาง
หรืออีกกรณีหนึ่งคือ คุณสามารถนำดอกลาเวนเดอร์มา
โปรดจำไว้ว่า :
1. น้ำมันหอมระเหยนั้นใช้ภายนอ
2. ไม่ควรใช้ในสตรีมีครรภ์ เด็กเล็ก และผู้ที่มีผิวบอบบางแพ้ง่า
3. ห้ามสูดดมโดยตรงต้องทำให้เจ
4. ปิดฝาให้แน่น เก็บในขวดสีชาพ้นจากแสงแดด ห่างจากเด็ก
5. ลาเวนเดอร์มีคุณสมบัติผ่อนค
คำเตือน : น้ำมันหอมระเหยอาจเป็นอันตร
By VMM 24/1/62
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
เพิ่มเติมรายละเอียด **บทความนี้ เขียนขึ้นจากประสบการณ์ กรณีพบข้อผิดพลาดทางวิชาการ สามารถนำผลงานวิจัย หรือข้อมูลที่คุณมี หรือตำราอ้างอิง มาแลกเปลี่ยนหรือแนะนำเสริมกันได้ค่ะ (ยินดีรับฟัง)
วันนี้ว่าด้วย ข้อพึงระวังในการบ่มน้ำมันหรือน้ำมันหอม
1. ภาชนะต้องสะอาด อาจผ่านความร้อน ด้วยการลวกน้ำร้อน หรือ ล้างน้ำยาและเช็ดให้แห้งด้วยผ้าสะอาดหรือตาก ไม่ว่าจะเป็นภาชนะปรุง บ่ม หรือบรรจุ **ย้ำต้องสะอาด
2. ภาชนะหรือฝา ต้องปิดสนิท และไม่ควรใช้ขวดพลาสติก ฝายาง หรือจุกไม้ เนื่องจากน้ำมันหอมที่มีความเข้มข้น จะละลายยางหรือพลาสติกได้ ส่วนจุกไม้ จะไม่สามารถเก็บรักษาน้ำหรือน้ำมันได้เนื่องจากการระเหย (ยกเว้นหาอะไรมาซีนกันอีกชั้นก่อน)
3. ดอกไม้ ผลไม้ พืช และสมุนไพรที่จะนำมาหมัก ต้องแน่ใจว่าปลอดสารและสะอาด แนะนำฟู๊ดเกรด หรือปลูกเอง (ไม่ใช้มาลัยสี่แยก อันนั้นฝุ่นสารเต็มๆ) แบบสดต้องไม่มีช้ำ แบบแห้งต้องไม่มีรา ยกตัวอย่างการทำน้ำปรุง จากน้ำลอยดอกไม้ ดอกไม้ต้องสดใหม่และเปลี่ยนทุกวันในตอนเช้า ก่อนดอกไม้จะจมน้ำสำลักน้ำกลีบช้ำ ....และจะเหม็นเขียวค่ะ
4. น้ำมันที่จะนำมาเป็นเบส ควรศึกษาให้ดี บางชนิดไม่สามารถนำมาผ่านความร้อนหรือทานได้ เนื่องจากจะเป็นพิษ , บางชนิดไม่เหมาะที่จะนำมาปรุงหรือบ่มน้ำมันหอม จะทำให้หื่น หรือกลิ่นดับกันเอง อาทิเช่น Extra Virgin Olive Oil, Castor oil, Coconut Oil ฯลฯ (รายละเอียดไปหาอ่านกันเองนะคะ พวกนี้เขาจะมีคำเตือนและผลงานวิจัยที่หาอ่านได้ทั่วไปอยู่แล้วค่ะ)
5. พืช ดอก หรือสมุนไพรบางชนิด ไม่เหมาะกับการบ่มด้วยน้ำมัน ต้องใช้การสกัดจากแอลกอฮอล์ ไอน้ำ หรืออื่นๆ ไม่เช่นนั้นอาจบูด เน่าเสีย หรือทำให้น้ำมันมีกลิ่นหืน เปรี้ยว หรือเหม็นได้ เช่น ใบเตย ฯลฯ
6. อุณหภูมิในการบ่ม ต้องเหมาะสม คงที่ ไม่ร้อน ไม่เย็นจนเกินไป
7. พึงระวังรา ราขาวนั้นปลอดภัยคนและบ่มต่อได้ ส่วนราดำเป็นพิษต้องระวัง ยกตัวอย่างจากกรณีที่พบในน้ำหมักจุลลินทรีย์**สำหรับผู้ที่ต้องการบ่มแอลกอฮอลจากผลไม้หรือสมุนไพร**ควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมตรงนี้ให้แน่ชัดค่ะ เนื่องจากรามีทั้งคุณและโทษ >>>> ยกตัวอย่าง ไว้โพสหน้า ตรงนี้เดี๋ยวยาว
8. กลิ่น หากกลิ่นที่บ่มออกมาเพี้ยน เช่น เปรี้ยว ทั้งที่ไม่ได้บ่มมีผลไม้ตระกูลที่ให้กลิ่นเปรี้ยวโดยธรรมชาติ ให้ย้อนกลับไปทบทวนตั้งแต่ข้อ 1 ใหม่ ว่าคุณทำสะอาดไหม ใช้น้ำมันผิดประเภทหรือเปล่า หรือใช้พืชสมุนไพรที่ไม่เหมาะกับการบ่ม หรืออุณหภูมิห้องร้อนไป สิ่งเหล่านี้คือปัจจัยที่ทำให้น้ำมันส่งกลิ่นเพี้ยนค่ะ ซึ่งต้องระวังเพราะหากนำมาใช้อาจก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ แล้วแต่บุคคล
ยาวพอแล้ว จบสวัสดี
ขอให้สนุกกับการปรุงค่ะ
By Luzchanna@VMM
เขียน 6/2/62 ปรับปรุง 7/2/62
DIY น้ำมันกุหลาบ กับ ตัวอย่างพันธุ์กลิ่นหอม
น้ำมันหอมระเหยกุหลาบ ส่วนที่ใช้คือดอก มีประโยชน์ต่างๆมากมาย วันนี้เราจะมายกตัวอย่างสายพันธุ์กุหลาบที่ให้กลิ่นหอมแรงกันค่ะ
1. FAIR BIANCA มีกลีบดอกสีขาว – ชมพูอ่อนๆ เหลือบขาว ดูละเมียดละไม กลิ่นหอมแรงสดชื่นๆ คล้ายสมุนไพร
2. EVELYN หรือ Apricot Parfait มีกลีบดอกใหญ่ สีส้มลูกท้อ กลิ่นหอม
3. Graham Thomas หรือ Lemon Parody กุหลาบสีเหลืองทอง มีกลิ่นคล้ายชาอังกฤษ หอมแรง
4. HERITAGE หรือ Roberta กุหลาบสีชมพูกลีบนวล กลิ่นหอมแรง เหมือนกลิ่นน้ำผึ้ง
5. ABRAHAM DARBY หรือ Candy Rain, Country Darby tree กุหลาบนี้มีสองสี บางครั้งสีชมพู บางครั้งสีส้ม กลีบดอกเยอะมาก มีกลิ่นหอมแรง เหมือนกลิ่นผลไม้
6. GLAMIS CASTLE กุหลาบสีขาวครีมอ่อนๆ กลิ่นหอมแรงสดชื่นๆ คล้ายสมุนไพร
7. Damask Rose ดอกสีชมพูหรือสีแดง มีกลิ่นหอมแรง นิยมนำมาสกัดทำน้ำหอม
เมื่อรู้จักกลิ่นหอมตามสายพันธุ์กันแล้ว ก็มาทำน้ำมันกุหลาบกันค่ะ เริ่มที่
1. เลือกกลีบกุหลาบสดที่ไม่ช้ำและไม่มีรอยแมลง และมั่นใจว่าปลอดสาร ถ้าเป็นกุหลาบปลูกเองที่บ้านก็เลือกเก็บในตอนเช้าที่กลีบกุหลาบยังสดชื่นด้วยหยาดน้ำค้าง
2. บี้กลีบกุหลาบเบา ๆ เพื่อให้กลิ่นและน้ำมันหลั่งออกมา แล้วใส่ในโหลแก้วใบใหญ่แบบมีฝาปิด จากนั้น เทน้ำมัน(เช่น น้ำมันโจโจบา น้ำมันเมล็ดองุ่นคุณภาพดี) ลงไปให้ท่วมกลีบดอกไม้ แล้วปิดฝาขวดให้สนิทและปล่อยทิ้งไว้ 24 ชม นำกลีบกุหลาบออกจากน้ำมัน แล้วกรองน้ำมันอีกครั้งเพื่อขจัดเศษผงที่ตกค้าง
3.เติมกลีบกุหลาบสดเข้าไปอีกครั้งแล้วปล่อยทิ้งไว้อีก 24 ชม เมื่อครบเวลาแล้วกรองน้ำมันทำซ้ำตามขั้นตอนนี้ 6-7 ครั้ง จนกระทั่งได้น้ำมันกลิ่นกุหลาบ และเทใส่ขวดเอาไว้ใช้ตามต้องการ
หมายเหตุ ถ้าคุณจะใช้กุหลาบในการปรุงอาหาร ให้เลือกใช้ดอกกุหลาบพันธุ์ที่กินได้ เช่น Rosa damascena, Rosa Centifolia และ Rosa Gallica
By VMM 7/2/62
-----------------------------------------------
วันนี้เสนอ น้ำมันดอกมะลิ
มะลิ เป็นดอกไม้หอมที่หาง่ายในไท
มะลิ มีกลิ่นหอมหวานสด ให้ความรู้สึกชุ่มชื่น มีสรรพคุณลดไข้แก้หวัดในทาง
ตามตำราจีนและอินเดียเชื่อว
องค์ประกอบทางเคมี:
ดอกมะลิสดมีน้ำมันหอมระเหยป
แต่ถ้านำดอกมะลิแห้งมาสกัดด
ในการทำน้ำหอมจึงมักใช้ดอกม
กระบวนการสกัดกลิ่นนั้นก็ไม
ปัจจุบันกรรมวิธี enfleurage นี้ไม่ค่อยทำกันแล้ว แต่หันมาใช้วิธี solvent extraction หรือการสกัดด้วยตัวทำละลาย ซึ่งก็มีขั้นตอนซับซ้อนเช่น
ส่วนไทยเราก็มีอีกวิธีหนึ่ง
อ้างอิง
- ฐานข้อมูลยาและสมุนไพร ม.อุบล http://
- การสกัดดอกไม้ไทย ม.เกษตรhttps://www.ku.ac.th/
-http://
- https://www.myu-nique.com/
- https://
- วารสารเกษตรกรรมธรรมชาติ ฉบับที่ ๙/
- หลักสูตรเทคนิคพื้นฐานการผส
- พืชสมุนไพรกับการปรุงเครื่อ
By VMM 21/2/62
------------------------------------------------
วันนี้เรามารู้จักกับ น้ำมันโรสแมรี่กันค่ะ
น้ำมันหอมระเหยโรสแมรีมีสีเหลืองอ่อนจนถึงใส มักสกัดด้วยการกลั่นไอน้ำ จากใบและยอดดอก มีกลิ่นของความหอมที่คล้ายกับการบูร
ประโยชน์นอกจากใช้ความหอมในการปรุงอาหารแล้ว โรสแมรี่ยังนิยมใช้เพื่อเป็นเครื่องหอมในพิธีสำคัญๆ อย่างงานแต่งงาน ที่สำคัญดอกของโรสแมรี่ยังเป็นสัญลักษณ์แห่งความรัก และสัญลักษณ์แห่งความทรงจำที่ดี
โรสแมรี่มี 2 ประเภท คือ Rosemary Cineole และ Rosemary Verbenone.
Rosemary Cineole จะมีกลิ่นหอมสดชื่นกว่า Rosemary สายพันธ์ Verbenone ซึ่งกลิ่นของดอกโรสแมรี่มีคุณสมบัติช่วยรักษาอาการปวดกล้ามเนื้อ เพื่อช่วยกระตุ้นในการไหลเวียนของโลหิต ช่วยให้รู้สึกสดชื่นและมีสมาธิ อีกทั้งยังเสริมสร้างความจำและช่วยคลายความรู้สึกซึมเศร้า ความอ่อนล้า
ซึ่งมีผู้นำไปใช้เป็นส่วนประกอบในการผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมช่วยขจัดรังแคและช่วยให้เส้นผมนุ่มเงางาม กระตุ้นการเจริญเติบโตของเส้นผมอีกด้วย
ข้อแนะนำในการนำไปใช้
1. กระจายกลิ่นในอากาศเพื่อเพิ่มความรู้สึกสดชื่น หายง่วง บำรุงระบบหายใจ
2. ผสม 1-2% ในแชมพูเพื่อป้องกันรังแค กระตุ้นการเจริญเติบโตของเส้นผม
3. ผสมในน้ำมัน Sweet Almond นวดบริเวณกล้ามเนื้อเพื่อคลายปวดเมื่อย หรือใช้นวดตามร่างกายเพื่อรักษาอาการบวมน้ำ (fluid retention) ได้เป็นอย่างดี
4. หยด 2-3 ใช้ร่วมกับโลชั่นที่ใช้ประจำ จะช่วยแก้ปัญหาผิวมันได้เป็นอย่างดี
5. ผสม 3-5% กับ Blackpepper, Geranium, Cypress ในน้ำมัน Carrier Oil ใช้นวดบริเวณช่วงท้องหรือต้นขาเพื่อลดไขมันและเซลลูไลท์
สำหรับผู้ที่สนใจ ก็สามารถหาซื้อ น้ำมันหอมระเหยโรสแมรี่มาลองใช้ดูได้ค่ะ เวลาซื้ออย่าลืมมองหาฉลากที่เขียนว่า Pure Essential Oil นะคะ
ในส่วนของ DIY ขอแนะนำวิธีการทำสารสกัดโรสแมรี่กันค่ะ
1. ผสมแอลกอฮอล์ กับใบโรสแมรี่ ลงในภาชนะที่มีฝาปิด (อัตราส่วน 1ต่อ1)
2. เติมน้ำมันหอมระเหยโรสแมรี่ลงไป 1 หยด คนให้เข้ากัน แล้วปิดฝา บ่มไว้ 3 สัปดาห์
3. เมื่อบ่มจนได้ที่แล้ว ให้กรองเอาใบโรสแมรี่ออกและเก็บน้ำไว้ใช้ โดยจะตุ๋นไล่แอลกอฮอล์ก่อนหรือหลัง (เก็บ) ก็ได้ตามสะดวก
By VMM 28/2/62
ภาพประกอบจาก Google
/////////////////////////////////////////////////////////////////
ใกล้จะสงกรานต์แล้ววันนี้เลยขอเสนอการทำเครื่องหอมแบบไทย เพื่อเป็นการอนุรักษ์ให้ได้ศึกษาและทดลองกันค่ะ
การทำเครื่องหอมแบบไทย
เสน่ห์ของเครื่องหอมไทย คือ ความพิถีพิถัน ในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเตรียมเครื่องและไม้หอม ตลอดจนกระบวนการต่างๆ อันได้แก่ การอบ การร่ำ และการปรุง
การอบ หมายถึง การนำมาปรุงกลิ่นด้วยควัน หรือนำมาปรุงกลิ่นด้วยดอกไม้หอม การอบให้มีกลิ่นหอมเพียงแค่ช่วงเวลาหนึ่ง กลิ่นหอมจะซึมเข้าไปในของที่นำไปอบ โดยวัตถุที่ต้องการให้มีกลิ่นนั้น อยู่ในภาชนะที่มีฝาปิดสนิท จะอบด้วยเทียนอบ หรือดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมและมีกลิ่นแรง มักจะไม่ใช่ดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมเลี่ยนๆ หรือที่มีกลิ่นเปรี้ยว
การอบ ดอกไม้มี 2 ชนิด คือ การอบน้ำ และการอบแห้ง
1. การอบน้ำ คือ การลอยดอกไม้บนน้ำ เช่น อบน้ำสำหรับรับประทาน อบน้ำเชื่อม อบน้ำสรง
การอบดอกไม้บนน้ำควรปฏิบัติดังนี้
1.1 ไม่ควรนำดอกไม้ใส่ลงภาชนะให้เต็ม ควรเว้นที่ว่างไว้ เพราะกลิ่นของดอกไม้จะได้ลงถึงน้ำ
1.2 ควรใช้ภาชนะที่มีลักษณะปากกว้าง ตื้น มีฝาปิด เวลาอบใส่น้ำเพียงเล็กน้อยเพื่อให้ความหอมทั่วถึง
1.3 ควรวางภาชนะให้เข้าที่เสียก่อนแล้วค่อยใส่น้ำ เวลานำดอกไม้ลงลอยน้ำจะต้องนิ่งแล้วจึงลอยดอกไม้เบาๆ ถ้าน้ำกระเทือนจะทำให้เข้าดอกไม้ช้ำได้ ทำให้น้ำมีกลิ่นเหม็นเขียว ดอกไม้ประเภทที่มีกลีบบาง เช่น ชำมะนาด จันทน์กะพ้อ สารภี พิกุล ควรใส่จอกหรือภาชนะเล็กๆ ลอยไว้เพื่อป้องกันการเกิดกลีบดอกช้ำ
1.4 ดอกไม้ที่ลอยน้ำ ควรลอยตามเวลาที่ดอกไม้บาน ไม่ควรแช่ทิ้งไว้นานเพราะหัวน้ำหอมลงอยู่ในน้ำหอมแล้ว การอบดอกไม้บางชนิด อบได้นาน 6 – 8 ชั่วโมง เช่น กุหลาบมอญ พิกุล ลำเจียก ชำมะนาด ราตรี ดอกแก้ว พุทธชาด กระดังงา
ดอกไม้บางชนิดลอยได้ ประมาณ 1 - 3 ชั่วโมง เช่น ดอกลำดวน ขจร สารภี ส่าเหล้า กรรณิการ์ ฉะนั้น การลอยดอกไม้ควรลอยเวลาค่ำและนำขึ้นตอนเช้าก่อนพระอาทิตย์ขึ้น
1.5 การลอยดอกไม้เพื่อให้กลิ่นหอม ควรทำการศึกษาว่า ดอกไม้ชนิดใดบานในเวลาใด เช่น
- ดอกมีที่บานเวลาเช้ามืดจะส่งกลิ่นเวลาประมาณ 05.00 – 06.00 น. คือ ดอกพิกุล ดอกสารภี ดอกจำปาดอกสายหยุด ดอกจันทน์กระพ้อ
- ดอกไม้ที่บานในเวลาเย็น เวลาประมาณ 18.00 น. ได้แก่ ลำเจียก มะลิ พุทธชาด ดอกส้ม ลำดวน
- ดอกไม้ที่บานเวลาค่ำ เวลาประมาณ 19.00 น. ได้แก่ ดอกชำมะนาด ดอกขจร ดอกกรรณิการ์
ฉะนั้น ดอกไม่ที่ออกกลิ่นเวลาใด ต้องคอยอบเวลานั้น พอหมดกลิ่นรีบเอาออกก่อนที่ดอกไม้จะช้ำ
1.6 ดอกไม้ที่จะนำมาอบถ้ามีต้น ก็เด็ดใช้ในเวลาที่ต้องการได้เลย แต่ถ้าซื้อให้ซื้อตอนเช้า เพราะยังพรมน้ำจากจะทำให้กลิ่นหอมของดอกไม้หมดไป และดอกไม้จะช้ำ เรียกว่า ดอกไม้สำลักน้ำ
2. การอบแห้ง คือ การวางดอกไม้ไว้บนขนมหรือสิ่งของต่างๆ ควรจะใช้ภาชนะเล็กๆ วางไว้บนของที่อยู่ในโถ ปิดให้สนิท การอบแห้งควรอบตามเวลาดอกไม้บาน เมื่อถึงตอนเช้าควรเอาดอกไม้ออก ถ้าทิ้งไว้นานจะทำให้กลิ่นเสีย
วิธีใช้ดอกกระดังงาดอกไม้ชนิดอื่นพอเก็บก็นำมาอบได้เลย แต่ดอกกระดังงาจะต้องนำมาอบควันเทียนเสียก่อน บางครั้งรียกว่า “กระดังงาลนไฟ” จากหนังสือ เครื่องหอมและของชำร่วย ของคุณโสภาพรรณ อมตะเดชะ ได้กล่าวถึงวิธีการลนไฟไว้ว่า โดยใช้มือรวบปลายกลีบดอกแล้วนำคั่วดอกลนไฟให้ตายนึ่งเวลาจะปลิดกลีบดอกออกจากดอก ใช้มือขับที่กระเปาะดอกให้กลับร่วงจะทำกลิ่นหอมแรงกว่าปลิดทีละกลีบ แล้วฉีกแต่ละกลีบตามแนวยาว กลีบละ 2 – 3 เส้น การใช้เทียนอบ เทียนอบใหม่ที่ยังไม่ได้ใช้จะต้องจุดไส้เทียนให้ไหม้ถึงตัวเทียน เนื่องจากกลิ่นหอมอยู่ที่ตัวเทียน เทียนอบที่ใช้แล้ว เก็บไว้นาน ๆ ไส้เทียนแข็ง จะต้องจุดไฟก่อนเพื่อให้ไส้เทียนอ่อนตัว
การร่ำ หมายถึง การอบกลิ่นหอมหลายอย่าง และทำโดยภาชนะเผาไฟแล้วใส่เครื่องหอม เพื่อให้เกิดควันที่มีกลิ่นหอม ได้แก่ กลิ่นหอมของยางไม้ กลิ่นน้ามัน กลิ่นเนื้อไม้ ฯลฯ การร่ำเครื่องหอมต้องใช้ภาชนะที่สำคัญ คือ โถกระเบื้อง การที่จะร่ำต้องใส่ทวนไว้ตรงกลางโถ นำตะคันเผาไฟให้ร้อน แล้วนำไปวางไว้บนทวน
การปรุง หมายถึง การรวมของหลาย ๆ อย่างเข้าด้วยกัน ในกรณีการปรุงเครื่องหอม คือ การนำแป้งพิมเสน หัวน้ำหอม ชะมดเช็ด มาบดผสมเข้าด้วยกัน แล้วนำไปปรุงกับน้ำอบไทย หรือเครื่องหอมอื่น ๆ แต่มีข้อสังเกตตรงที่ว่าการที่จะใส่หัวน้ำหอมชะมดเช็ด จะต้องบดแป้งนวล หรือแป้งหินเสียก่อนเพื่อให้แป้งซับน้ำมันให้หมดแล้วจึงนำไปผสมหรือกวนในน้ำต่อไป เช่น การทำน้ำอบไทยจะต้องอบร่ำและปรุงจึงถือได้ว่าประสบความสำเร็จในการทำน้ำอบไทย
ไว้ตอนหน้าจะมาแนะนำการปรุงให้ค่ะ สำหรับวันนี้ สวัสดียาวแล้ว
By VMM 21/3/62
ภาพอบควัน by Luzchanna @vmm
วิชาน้ำหอม 101
เราค้างเรื่องของการปรุงไว้สะนานเลยเนอะ เอาเป็นว่า วันนี้เราจะมาพูดถึงการปรุง หรือน้ำปรุงแบบไทยๆ กันค่ะ
น้ำปรุง คือ ของเหลวใสที่ประสมด้วยเอทิลแอลกอฮอล์ หัวน้ำมันหอมของมวลดอกไม้ และ น้ำลอยดอกไม้ นำมาผสมให้เป็นเนื้อเดียวกัน มีกลิ่นหอมเย็นชื่นใจ นิยมให้ปะทาตัวเพื่อความสดชื่น หรือ ใส่ในเครื่องหอมของชำร่วย...
น้ำปรุง ต่างจาก น้ำอบไทยตรงที่ น้ำปรุงจะมีส่วนประสมของเอทิลแอลกอฮอล์ ส่วน น้ำอบไทย เราไม่ใส่เอทิลแอลกอฮอล์นะคะ ...
น้ำปรุงของไทย มักมีสีเขียว เนื่องจากใช้ใบเนียม หรือใบเตยในการบ่ม และสกัดกับแอลกอฮอล์ ก่อนนำไปอบด้วยควันเทียน และที่ขาดไม่ได้คือชะมดเช็ด ส่วนผสมเหล่านี้ คือสิ่งที่ทำให้น้ำปรุงไทยเรานั้นมีความเป็นเอกลักษณ์ และหอมแรงจนเรียกว่า หอมติดกระดาน
แต่เนื่องจากปัจจุบันใบเนียมหาได้ยาก จึงใช้ใบเตยกันเสียมากกว่า และชะมดเช็ดก็มีราคาสูงมาก ส่วนใหญ่จึงถูกลดขั้นตอน หรือใช้ของอย่างอื่นในการทดแทน เช่น มัส ค่ะ
ที่นี้มาดูวิธีการปรุงกัน
อุปกรณ์ที่ต้องเตรียมมี
ขวดสำหรับผสมของเหลว จำนวน 6 ใบ
เขียง มีด ผ้าขวาบาง แล้วก้อขวดสวยๆสำหรับใส่น้ำปรุง
ส่วนผสมที่ ชุดที่ 1
- น้ำดอกไม้สด 1/4 ถ้วย
- น้ำมันหอมกลิ่นลำเจียก 1/4 ช้อนชา
- น้ำมันหอมกลิ่นกุหลาบ 1/4 ช้อนชา
- น้ำมันหอมกลิ่นมะลิ 1/4 ช้อนชา
- น้ำมันหอมกลิ่นไฮยาซิน 1/4 ช้อนชา
- น้ำมันจันทร์ 1/4 ช้อนชา
- มัส (ตัวตรึงกลิ่นให้ติดทนนาน ใช้แทนชะมดเช็ด) 1/4 ช้อนชา
เทผสมทุกอย่างใส่ขวดเปล่า แล้วเขย่าเบาๆให้เข้ากันปิดฝาพักไว้
ส่วนผสมที่ ชุดที่ 2
- เอทิลแอลกอฮอล์ 70-90% 1 1/2 ถ้วย
แบ่งเอทิลแอลกอฮอล์ใส่ขวดเปล่า ขวดละครึ่งถ้วย
จำนวน 3 ขวด
- ใบเนียมหั่นเป็นทอนๆ 9 ใบ
-ใบเตยหอมหั่นเป็นทอนๆ 5 ใบ
- ผิวมะกรูด 1/4 ถ้วย
- พิมเสน 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
นำใบเนียมใส่ในขวดเอทิลแอลกอฮอล์ขวดที่ 1
นำใบเตยหอมใส่ในขวดเอทิลแอลกอฮอล์ขวดที่ 2
นำผิวมะกรูด และ พิมเสม ใส่ในขวดเอทิลแอลกอฮอล์ขวดที่ 3 (เขย่าให้เข้ากัน) ปิดฝาพักไว้ 1 วัน จึงกรองเอาเศษใบไม้ออก นำของเหลวทั้ง 3 ขวดผสมรวมเข้าด้วยกัน แล้วจึงนำส่วนผสมที่ 1 ที่เตรียมไว้เทผสมในส่วนผสมชุดที่ 2 จมหมด ( เมื่อผสมแล้ว หากส่วนผสมที่ได้มีลักษระขุ่น ให้เติมเอทิลแอลกอฮอล์ลงไปทีละนิดจนน้ำปรุงมีลักษณะใส จึงหยุดเติม) นำใส่ขวดทึบแสงพักบ่มทิ้งไว้ 3 เดือน เก็บในที่ๆไม่มีแสงแดด
หมายเหตุ กรณีที่ใช้ชะมดเช็ด ก่อนใช้ต้องนำไปเผาไฟก่อน โดยปาดชะมดเช็ดด้วยไม้จิ้มฟันขนาดเท่าเม็ดถั่วเขียว ลงในใบพลู ตามด้วยเครื่องหอมสมุนไพร ห่อและนำไปลนไฟ จนละลายแล้วจึงจะนำมาใช้ได้
ก็ขอจบการปรุงแบบไทยไว้เท่านี้ค่ะ ไว้โอกาสหน้าจะมาในส่วนของการปรุงแบบฝรั่งเศสหรือน้ำหอมสมัยใหม่กันนะคะ - สวัสดี
By VMM 11/7/62
ภาพประกอบ : Google
น้ำหอมยิปซี 101
ลงวันที่ 7 ธันวาคม เวลา 23:40 น.
ไม่ได้เขียนบทความนานมาก วันนี้ไปหาความรู้เพิ่ม แต่ได้อะไรไม่รู้มาแบบงงๆ
ขอแจ้งข้อโต้แย้งไว้ ณ. ที่นี่ว่า อย่าเอาครูของตัวเองมาเปรียบเทียบกับครูของคนอื่นทั้งที่เนื้อหามันคนละเรื่องกัน และบางอย่างมันไม่จริง อย่าเอามาพูด เพราะนอกจากจะทำให้คนฟังสับสนแล้ว เมื่อเขารู้ความจริง เขาเช็คแล้วได้ความจริงอีกแบบ ซึ่งเป็นความจริงแบบเดิมที่เข้าใจและถูกต้องอยู่แล้ว มันก็กลายเป็นว่า คุณได้ทำลายความน่าเชื่อถือและไว้วางใจจากเราไปแล้ว หรือเกิดคำถามว่า
1. กักวิชา หรือ ไร้จรรยาบรรณในการให้ข้อมูล
2. ไม่ได้รู้ข้อมูลจริง แต่จงใจหลอกถามข้อมูลและบิดเบื่อนให้เกิดความสับสนกันแน่ เช่น
อัตราส่วนน้ำหอม Perfume Oil คือ 30:70 อะไรคือบอกเยอะไป 20:80 ก็พอ และบอกว่าของคุณใช้แค่ 12% เอง [หัวน้ำหอม 12% นั้นเกรดเคมีที่ใช้ทำ โคโลญนะ ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ มันคือ น้ำหอม 3 ขวด 100 เปล่าค่ะ (ราคาต้นทุนที่ใช้เคมีเป็นเบส) ขอใช้คำนี้ละกันไม่อยากเปรียบแบรนด์ที่เขาเข้มข้นจริงในแต่ละตลาดก็มี] Essential กับ Fragrance ผลและการใช้งานหรือการผสมเพื่อเบลนด์มันต่างกันนะ
การที่บอกว่า Essential Oil ใส่เยอะจะสะสมทำให้เป็นมะเร็งหรือมีสารที่ก่อให้เกิดการติดเหมือนสารเสพติดได้ คืออะไร...? ตำราไหน ขอใช้คำว่า คุณดูถูกตัวเอง และนักทำน้ำหอมทั่วโลกเลยนะ ถ้าแยกความเป็นสารสกัดจากธรรมชาติกับการปรุงแต่งเคมีเพื่อให้ได้กลิ่นแบบธรรมชาติไม่ออก
เอาง่ายๆ Essential Oil กลิ่น วนิลา ทำจากอะไร
มันคือการเอาฝักวนิลาแช่ในบรั่นดีแล้วหมัก ส่วน Fragrance ที่ใช้ในการทำอาหาร คือ การเอากาแฟมาผสมกับมะนาวและสมุนไพรอื่นนิดหน่อย ให้ได้กลิ่นและสารสกัดออกมาเป็นเหมือนกลิ่นวนิลา
หมายเหตุ อ้างอิงไปหาเอาเอง จำไม่ได้แล้วว่าหนังสือเล่มไหน แต่เคยทดลองถึงกล้าพูด กล้าเขียนและบอกต่อ กลิ่นอาจจะไม่ละมุนเท่า EO แต่ก็ทำให้เข้าใจว่าเป็นวนิลาได้ละกัน (เคสที่ยกคือตัวอย่างคือการทำน้ำหอมสำหรับใช้แต่งกลิ่นแต่งรสทำอาหารนะ)
Essential oil ต้องมีความระมัดระวังในการใช้จริง แต่เป็นเพราะความเข้มข้นที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง จึงต้องนำไปเบลนด์หรือผสมเบสอื่นๆ ตามวัตถุประสงค์ในการใช้งาน
สิ่งที่พึงระวัง ที่อาจก่อให้เกิดมะเร็งนั้นคือ การใช้แบบจุดเตาอโรม่า ซึ่งปัจจัยก็ขึ้นอยู่กับ เชื้อเพลิง ด้วยไม่ใช่แค่น้ำมันหอม
น้ำมันหอม ถ้าใช้ Fragrance จุดเตา ก็มีหลายเกรด แบบสมัยก่อน จะมีคุณสมบัติเพียงให้กลิ่นที่ใกล้เคียงกับ essential oil (ยกตัวอย่าง พวกกลิ่นสังเคราะห์ที่ใช้ในการแต่งกลิ่นอาหารได้) ส่วนปัจจุบันมีการพัฒนากลิ่นให้สามารถกระตุ้นความรู้สึกหรือต่อมสมองได้ (เช่น ฟีโรโมน หรือกลิ่นซีส) ซึ่งถ้าเป็นแบบเก่าจุดเตาไปนานๆ สะสมมะเร็งค่ะ
ส่วน essential oil มีคุณทางอโรม่าต่างกันไป ไม่ได้ทำให้เกิดมะเร็ง หรือมีเคมีที่ก่อให้เกิดการเสพติด ("ถ้า Nutmeg อ่ะใช้ ตัวอื่นน่ะไม่มี" ขอยกคำครูมาตอบ)
กรณีที่ทำให้เกิดมะเร็งได้ คือ
1. ใช้เชื้อเพลิงเป็น พวกเคมี เช่น แอลกอฮอล์แห้งที่ทำอาหาร ร้อนเร็วร้อนไว แสบจมูกแสบตา ไม่เชื่อลองสั่งหม้อไฟ ร้านที่ใช้แอลกอฮอล์พวกนี้ดู
2. การใช้ Essential Oil แบบเพียวโดยไม่ผ่านการเบลนด์ หรือเจือจางด้วยนำมันตัวพาก่อน แล้วไปออกแดด บางกลิ่นจะทำปฏิกิริยากับแสงแดดที่ทำให้ผิวบาง อักเสบ หรือไหม้และมะเร็งได้ เมื่อสะสม แต่ก็มีบางตัวที่ถูกนำมาใช้ในรูปแบบสารสกัดเข้มข้นในหมวดเครื่องสำอาง เช่น น้ำมันสกัดจากเปลือกส้มออแกนิค (จำชื่อทางการค้าไม่ได้) หรือน้ำมันม้าสกัด ซึ่งพวกนี้ก็ผ่านการเบลนด์มาแล้วและใช้ได้ไม่ก่อให้เกิดปฏิกริยา
ส่วนน้ำมันหอมระเหยที่มีสารก่อให้เกิดการเสพติด เอ่อ..อันนั้น คาเฟอีนกาแฟ หรือน้ำมันกัญชาค่ะ
จริงอยู่ที่ Essential Oil ไม่ได้ปลอดภัยเสมอไป มันขึ้นอยู่กับกลิ่น และการใช้ อย่างที่บอก ไม่ควรใช้แบบเพียวๆ นะคะ
ซึ่งหัวน้ำหอมที่เราทำ ก็ไม่ใช่การจับ Essential Oil กลิ่นนั้นมาผสมกลิ่นนี้อย่างเดียว เราเบลนด์กลิ่น ทั้งสกัด บ่ม ผสมสารพัดสมุนไพร และน้ำมันธรรมชาติ จนกลายเป็นน้ำมันหอมเข้มข้น (perfume oil)
ยกตัวอย่างเช่น
- VMM Original Perfume Oil (ทุกอย่างเป็นออแกนิค 100% ปรุงทีหมดตัวเลย ใส่ทองด้วยจ้า)
- เฟรมเฟเทอร์ ก็ทำจากสมุนไพรและดอกไม้ที่ให้สีแดงมากกว่า 10 ชนิด จนแดงสะใจคนทำมากกกก
.
.
โฆษณาด้วยไทร์อินสองกลิ่นนี้ละกันนะ สนใจสั่งได้
ราคามิตรภาพ ขึ้นอยู่กับต้นทุนวัตถุดิบในการปรุงมากกว่าแพ็คเก็จ จบนะ
ปล. จริงๆ ก็ชอบสะสมขวดน้ำหอมเหมือนกันนะ แต่ถ้าเอามาราคาก็จะยิ่งสูง อย่างเช่นขวดคริสตัล 10 มล. 2,000 (ค่าขวดราคาปลีก 1,000 ถ้าจะให้ถูกกว่านี้ก็ต้องสั่ง 1,000 ขวดอ่ะค่ะ ไม่มีงบจ้า แค่ปรุงกลิ่นใหม่ก็หมดตัวแล้ว ยกตัวอย่างกลิ่นโปรด กุหลาบดามากัส....ชนิด เพียวเอสเซ็นเชียล 10 มล.ก็กระเป๋าแบนแล้วค่า)
ปล.2 กราบขอบพระคุณ อาจารย์น้ำหอมที่รัก ที่เรายังคงรอคลาสอยู่ แม้ยังไม่ได้เรียนตรง ก็คอยให้คำแนะนำ หรือช่วยไขข้อข้องใจ หรือปัญหาต่างๆ เรื่อยมา ประหนึ่งศิลาณีน้ำหอม ด้วยรักและขอบคุณค่ะ
ปล. 3 ไม่ได้โจมตีหรือมีปัญหากับ fragrance เพราะครูหรือเพื่อนที่ทำแบรนด์น้ำหอม ก็มีและเขาทำได้ดีมาก ชื่นชมโดยตลอด ด้วยสตอรี่และจุดประสงค์ของแต่ละร้านย่อมไม่เหมือนกัน จึงไม่จำเป็นต้องเอามาเปรียบเทียบหรือพูดไม่ดีใส่กันค่ะ
By VMM 7/12/62