คนเรานั้นไม่สามารถถอดได้ทนกว่าอดอาหาร น้ำจึงมีความสำคัญรองจากอากาศเลยทีเดียว หากขาดน้ำหลายวันผิวพรรณจะซูบซีดไม่มีเรี่ยวแรงอย่างรวดเร็ว

น้ำ เป็นปัจจัยสำคัญต่อสิ่งมีชีวิตทุกชีวิตเลยทีเดียวเพราะนั้นจะเข้าไปช่วยหล่อเลี้ยงอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกายให้อย่างคล่องตัวทำให้ร่างกายสดชื่น ชุ่มฉ่ำ โลหิตไหลเวียนดีร่างกายเราจะมีการเรียกร้องโดยอัตโนมัตื เมื่อต้องกานน้ำ หรือกำลังขาดน้ำ
นอกจากน้ำจะช่วยให้ทุกส่วนทำงานได้สอดคล้องกันดีแล้วยังช่วยควบคุมอุณหภูมิของรางกายให้คงที่ ฉะนั้นคนเราจึงควรได้รับน้ำในปริมาณเพียงพอทุกวัน
บางคนอาจเคยได้ยิน คนพูกว่าให้ดื่มน้ำมากเพราะว่าการดื่มน้ำมากเท่าไรก็ไม่มีโทษ แต่น้ำนั้นต้องบริสุทธิ์ สะอาด ผ่านการฆ่าเชื่อโรคมาแล้ว
น้ำดื่มที่บริสุทธิ์สะอาด ช่วยสร้างความชุ่มฉ่ำให้กับร่างกายรวมทั้งผิวพรรณของคุณก็สดใส เปล่งปลั่ง ยิ่งดื่มน้ำมากเท่าไหร่ น้ำก็ช่วยขับของเสียออกได้มากขึ้น ของเสียที่ถูกขับจะออทางรูขุมขน ที่เราเรียกว่าเหงื่อ ขับออกมาทางปัสสาวะ
น้ำจึงน้ำหน้าที่เหมือนตัวล้างพิษ ล้างของเสียออกจากร่างกายนอกจากจะช่วยหล่อเลี้ยงร่างกายแล้ว จะสังเกตไดว่าเมื่อเราดื่มน้ำมากๆ ก็สามารถอุจจาระได้คล่อง ระบบการย่อยอาหารไม่ติดขัด
บุคคลทำงาน ซึ่งต้องสูญเสียเหงื่อมากอย่างเช่น กรรมกร แบกหาม คนงานก่อสร้าง จะต้องต้องการน้ำมากกว่าบุคคลที่ทำงานไม่ไช่แรง
ประโยชน์ของน้ำแร่ แร่ธาตุในน้ำแร่ ต่างกับน้ำดืมอย่างไร
น้ำเปล่า เป็นน้ำที่บริสุทธิ์ ไม่มีสารอาหารใดๆ เป็นโมเลกุลที่มีขั้ว ประกอบไปด้วยไฮโดรเจน 2 อะตอม และออกซิเจน 1 อะตอมยึดเหนี่ยวกันด้วยพันธะไฮโดรเจน น้ำเป็นตัวทำละลายที่ดีมากๆ และร่างกายสามารถดูดซึ่มได้รวดเร็วและดีที่สุดเมื่อเทียบกับน้ำชนิดอื่นๆ
น้ำแร่ เป็นน้ำที่อยู่ใต้ดินซึ่งประกอบไปด้วยสารอาหารมากมาย แต่แร่ธาตุจะมากหรือจะน้อยขึ้นอยู่กับแหล่งที่เกิดทางธรณีวิทยา เช่น ถ้าเกิดในบริเวณชั้นหินที่มีอายุเยอะแล้วจะมีความอุดมสมบูรณืของแร่ธาตุดี มาก แต่สารอาหารในน้ำแร่ ก็มีทั้งที่ดีและไม่ดีกับร่างกาย สารอาหารที่ดีต่อร่างกายในน้ำแร่ก็อย่างเช่น เกลือซัลเฟต ช่วยในการขับถ่าย , ฟลูออไรด์ , แคลเซียม , โพแทสเซี่ยม ช่วยในกระบวนการเมทาบอลิซึ่ม , โซเดียม ช่วยรักษาสมดุลน้ำในร่างกาย เป็นต้น และน้ำแร่แบ่งได้อีกหลายชนิด ตามแหล่งที่เกิดและสรรพคุณที่ช่วยในการรักษาโรค ส่วนสารอาหารที่ส่งผลเสียต่อร่างกาย เช่น สารหนู โครเมียม ไซยาไนด์ โมลิบดินัม แวนาเดียม เป็นต้น
สิ่งที่เหมือนกันระหว่างน้ำแร่ และน้ำเปล่า คือ เป็นสิ่งที่ร่างกายต้องการเพื่อนนำน้ำไปใช้ในกระบวรการต่างๆของร่างกาย เช่น ขับของเสียออกจากร่างกาย
สิ่งที่แตกต่างกันระหว่างน้ำแร่และน้ำเปล่า
ความแตกต่างระหว่างน้ำแร่และน้ำเปล่า จะต่างกันที่น้ำแร่มีแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการมากกว่าน้ำเปล่าเท่านั้นเอง แต่ แร่ธาตุเหล่านี้ เราจะได้รับอยู่แล้วในทุกๆ วัน ซึ่งได้จากการรับประทานอาหาร ถ้าร่างกายได้รับแร่ธาตุมากเกินไป ก็จะถูกขับออกมาในรูปของของเสีย ทำให้ดื่มไปก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรขึ้นมาสำหรับท่านใดที่ดื่มน้ำแร่แทนน้ำ เปล่าก็ลองพิจรณากันดูอีกทีนะ เพราะราคาที่แพงกว่าแต่คุณค่ามีเท่าๆกัน
ข้อเสียสำหรับผู้ที่ไม่ชอบดื่มน้ำหรือน้ำเปล่า
โดยการเลือกดื่ม น้ำหวาน น้ำอัดลม หรือ กาฟแทน หรือบางท่านอาจดื่มเฉพาะเวลาที่รู้สึกกระหายน้ำเท่านั้น ขอบอกว่าให้เลิกพฤติกรรมนี้ซะ เพราะว่าเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกานจะไปกระไปด้วยน้ำ ถ้าคุณไม่ดื่มน้ำหรือดื่มแต่น้ำหวาน จะส่งผลให้เซลล์ในร่างกายเหี่ยว ร่างกายเข้าสู่ภาวะขาดน้ำ สุขภาพย่ำแย่ ไม่มีสมาธิเพราะสมองขาดน้ำ รู้สึกเหนื่อยและหงุดหงิดง่าย อาจเกิดการตกผลึกของเกลือแร่ทำให้เกิดโรคนิ่วในไตได้ง่าย หัวใจต้องทำงานหนักเป็นอย่างมาก เพราะในเลือดไม่มีน้ำ แต่กลับมีน้ำตาลอยู่ ทำให้เลือด เหนี่ยวและข้น ยากต่อการที่จะส่งเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย ปาก คอ ผิวพรรณ แห้ง มันมีผลเสียมาเลยใช่ไหมค่ะ กับการที่ร่างกายขาดน้ำ สำหรับท่านใดที่ไม่ชอบดื่มน้ำเปล่า ก็เริ่มมาดื่มด้วยวิธีการจิ๊บน้ำแทนก่อน จิบบ่อยๆ และค่อยๆเพิ่มปริมาณขึ้นค่ะ และเราก็จะเคยชินกับการดื่มน้ำไปเอง
สำคัญไฉน น้ำที่ใช้กินยา
เป็นอีกหนึ่งบทความนะครับเกี่ยวกับเรื่องยาๆบ้าง ไม่มีใครประทับใจกินยาแล้วทำไมไม่หายจากโรคจากอาการสักทีล่ะ! เพราะแค่ไปหาหมอก็จะแย่อยู่แล้ว ไหนจะค่าใช้จ่าย การเดินทาง นั่งรอเข้าตรวจโรคอีก หิวก็หิว กว่าจะได้ยาจากห้องจ่ายยา จนได้รับยาก็ล้า...อยากกลับบ้าน เต็มทีแล้ว
ก่อนอื่นเดี๋ยวเล่าให้ฟังก่อน ณ รพ.แห่งหนึ่ง มีคนไข้มาถามคุณหมอที่ห้องยาว่า "ยาที่รับไปแล้ว สามารถรับประทานพร้อมกับน้ำอุ่นหรือน้ำธรรมดา (น้ำที่อุณหภูมิห้องปกติ) หรือน้ำเย็นได้หรือเปล่า คนไข้ถาม" แล้วคุณหมอคนนั้น ก็ขอดูยาคนไข้ที่ได้รับไป ไม่นานก็สังเกตเห็นคุณหมอเปิดหนังสืออะไรไม่รู้เล่มใหญ่ๆ สักพักก็บอกคนไข้คนนั้นว่า "สามารถกินกับน้ำอุ่นได้ แต่ไม่ถึงกับร้อน ถ้าให้ดีน้ำธรรมดาที่ต้มสุขแล้ว" คนไข้ก็ขอบคุณแล้วก็จากไป ผมเกิดความสงสัยก็เลยไปหาข้อมูลจากเวป เกี่ยวกับน้ำที่ใช้กินยา และผมก็เจอบทความ บทความหนึ่งที่เวปไซต์ สสส. และวิชาการดอทคอม ได้ไปอ่านบทความ “สำคัญไฉนน้ำที่ใช้กินยา” เกี่ยวกับข้อสงสัยที่ว่าการกินยากับน้ำอุ่นจะก่อให้เกิดอันตรายอย่างที่หลายๆ คนกำลังกังวล หรือไม่ ตรงเลยทีนี้ อ่านซิถ้างั้น
จากบทความกล่าวไว้ว่า ข้อสงสัยดังกล่าว ว่า “ปัจจุบันยังไม่มีรายงาน หรือผลการวิจัยใดๆ บ่งบอกว่า การกินยากับน้ำอุ่นจะก่อให้เกิดอันตรายอย่างที่หลายๆ คนกำลังกังวล แต่โดยหลักแล้ว ยอมรับว่า การกินน้ำอุ่นกับยา อาจจะทำให้เกิดปฏิกิริยาเล็กน้อย แต่เชื่อว่าไม่น่าจะอันตรายอะไร” ผศ.ดร.ภญ.นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ กล่าวว่า ในร่างกายคนเรามีอุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 37 องศาเซลเซียส แล้วการดื่มน้ำอุ่นที่ร่างกายรับได้ก็ไม่น่าจะอุ่นมากจนร้อน อาจจะมีบ้างที่ทำให้ยาแตกตัวเร็วขึ้น ละลายง่ายขึ้น ทำให้ดูดซึมเร็วขึ้น อาจจะส่งผลบ้าง แต่ไม่อันตราย
แต่มันก็มียาบางชนิดเหมือนกัน ที่มีปฏิกิริยากับน้ำอุ่นจัดๆ เช่น ยากลุ่มแอสไพริน ที่ถ้าเจอน้ำร้อนหรือน้ำอุ่นจัดๆ จะเกิดกรดน้ำส้ม และทำให้เสียฤทธิ์ไปได้ ทางที่ดีที่สุด คือ หากต้องกินยา ควรกินยากับน้ำอุณหภูมิปกติไม่เย็น หรือไม่อุ่น แม้จะไม่มีงานวิจัยว่าน้ำเย็นหรืออุ่นอันตรายต่อสุขภาพเมื่อกินกับยา น้ำอุณหภูมิห้องที่ตั้งไว้นอกตู้เย็น น่าจะไม่ทำปฏิกิริยาใดๆ กับเม็ดยามากที่สุด”
นอกจากนี้ ผศ.ดร.ภญ.นิยดา ยังฝากเตือนไปยังผู้ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ กินยากับน้ำชนิดอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกินยากับนมและน้ำผลไม้ ซึ่งเป็น 2 เครื่องดื่มยอดฮิตของคนยุคปัจจุบัน โดยระบุว่า
นม เป็นเครื่องดื่มที่มีแคลเซียมสูง ซึ่งในยาบางประเภท เช่น กลุ่มยาแก้อักเสบเตตร้าไซคลิน จะทำปฏิกิริยากับนม โดยจะถูกแคลเซียมจากนมดักฤทธิ์เอาไว้ ทำให้ยาไม่ออกฤทธิ์เลย
ส่วนในประเด็นของน้ำผลไม้ ซึ่งส่วนใหญ่มีค่าเป็นกรด จะทำให้การทำละลายของยาเปลี่ยนไป ซึ่งอาจจะทำให้การออกฤทธิ์ของยามีปัญหาได้
ซึ่งนมกับน้ำผลไม้นี้ควรหลีกเลี่ยงในการใช้เป็นน้ำที่กินกับยา ยังกล่าวต่อไปอีกด้วยว่า ในต่างประเทศมีการวิจัยและพบว่า น้ำผลไม้ เกรปฟรุต ซึ่งเป็นน้ำส้มชนิดหนึ่งที่ชาวตะวันตกชอบดื่ม มีผลต่อเอนไซม์ตับ ทำให้ตับมีปฏิกิริยาต่อการกำจัดสารตกค้างจากยาออกจากตับ และมีคำแนะนำว่าไม่ควรจะกินยากับน้ำผลไม้ชนิดนี้ด้วย
ในเมื่อได้รู้แล้วว่าควรกินน้ำกับยาอย่างไรให้ถูกต้องก็ควรปฏิบัติตามด้วยนะครับ เพื่อสุขภาพของตนเอง
ขอบคุณแหล่งความรู้ :http://www.thaihealth.or.th/
ขอบคุณแหล่งภาพ : hilight.kapook.com