กว่าจะมาเป็นน้ำหอม
น้ำหอม คือ ส่วนผสมที่ปรุงให้เข้ากันอย่างดีจากธรรมชาติ และสารเคมีที่สังเคราะห์ขึ้นตามความคิดสร้างสรรค์ การสื่อความหมาย และชนิดของวัตถุดิบ นำมาปรุงโดยนักปรุงน้ำหอม(Perfumer)ไม่มีกฎเกณฑ์ที่แน่นอนในสัดส่วนของการ การปรุง บางทีอาจมีส่วนผสมเพียง 1- 2 ชนิด หรืออาจจะมีมากเป็นร้อยชนิดก็ได้
น้ำหอมแต่ละชนิดถูกปรุงมาเพื่อตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกัน เช่นน้ำหอมสำหรับบุรุษ หรือสตรี และยังมีการจำเพาะเจาะจงลงไปในรายละเอียดอีกด้วย เป็นต้นว่าน้ำหอมสำหรับอิสตรีผู้มีความอ่อนโยนแต่แฝงไว้ด้วยพลังอันเข้มแข็ง
ผู้ปรุงน้ำหอมจะต้องจดจำกลิ่นต่างๆที่ผ่านเข้ามาในโสตประสาท และสามารถจำแนกกลิ่นต่างๆได้เป็นอย่างดี ตลอดจนการสื่อความหมายของกลิ่นแต่ละกลิ่น และที่สำคัญคือการเข้าถึง อารมณ์ของผู้ใช้ด้วย เรียกว่าเป็นศาสตร์และศิลป์ขั้นสูง จึงได้มีสถาบันสอนการปรุงน้ำหอมเกิดขึ้นในต่างประเทศ ผู้เรียนต้องใช้เวลาปลายปีเพื่อที่จะได้เป็นนักปรุงน้ำหอม
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยกว่าจะมาเป็นน้ำหอมให้เราได้ใช้ในชีวิตประจำวัน
ประวัติน้ำหอม ตอน 1ประวัติ ของน้ำหอมมีความเกี่ยวพันอันลึกซึ้งกับวิวัฒนาการของเผ่าพันธ์มนุษย์ เมื่อครั้งก่อนประวัติศาสตร์มนุษย์รู้จักการปรุงแต่งรสอาหารด้วยการเอากลิ่น หอมจากน้ำมันและเนื้อไม้
ชาวอียิปต์โบราณบูชาเทพเจ้าของเขาด้วยเครื่องหอมและน้ำมันหอมระเหย ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นสิ่งจำเป็นในการเฉลิมฉลองพิธีการต่างๆทางด้านศาสนาและ ประทินความงามของสตรี ชาวกรีกจะเดินทางกลับจากการแสวงหาโชคต่างแดนด้วยการนำเครื่องหอมใหม่กลับมา ด้วย ในขณะที่ชาวโรมันโบราณเชื่อว่าน้ำหอมมีคุณสมบัติด้านการบำบัดโรคร้ายได้
การใช้น้ำหอมได้ลดน้อยถอยลงในยุโรปเนื่องจากการบุกรุกเหยียบย่ำของพวกป่า เถื่อน แต่ศิลปะ และการพัฒนาของน้ำหอมกลับเกิดขึ้นในโลกอิสลาม ถึงแม้ว่าได้มีการคิดผลิต เทคนิคต่างๆในการกลั่นและผลิตสารหอม ชาวอาหรับและชาวเปอร์เชียได้กลายเป็นผู้นำในการใช้เครื่องหอมอย่างไม่สามารถ โต้เถียงได้ จนกระทั่งในศตวรรษที่ 12 โลกของชาวคริสเตียนได้กลับมาให้อารยธรรมสำคัญและค้นคว้าเกี่ยวกับการสกัดน้ำ หอมทั้งนี้เนื่องจากเป็นสิ่งที่บ่งชี้ถึงความมีอารยธรรม และด้วยเหตุผลของสุขลักษณะที่ดี ในขณะที่มีความเชื่อในด้านตรงกันข้ามว่ากลิ่นที่เป็นพิษเป็นบ่อเกิดของโรค ร้าย และเสื่อมถอย
ในศตวรรษที่ 16 เป็นสมัยแห่งการรวมตัวเป็นหนึ่งระหว่างการทำถุงมือ และน้ำหอม เป็นยุคแห่งแฟชั่นของของถุงมือหอม แม้ว่าชนชั้นสูงในสมัยกลางของยุโรป ได้มีการชำระล้างร่างกายเป็นประจำ ในทางปฏิบัติ สิ่งเหล่านี้ได้ถูกละเลยมาถึง 2 ศตวรรษ หลังจากการฟื้นฟูศิลปะวิทยาในทวีปยุโรป ในระหว่างศตวรรษที่ 14-16 ซึ่งเป็นผงสืบเนื่องจาก " สภาของเทรนท์ " ( Council of trent ) การจำหน่ายน้ำหอมจึงได้เพิ่มขึ้น เนื่องจากความต้องการในการกลบกลิ่นที่ไม่พึ่งประสงค์
ในศตวรรษที่ 17 ซีเวต ( Civet) และมัส ( Musk) ได้กลายเป็นแฟชั่นในขณะที่ความพึ่งพอใจในกลิ่นที่หอมหวาน ดอกไม้ และกลิ่นผลไม้ ได้เข้าแทนที่ กลิ่นยั่วยวนใหม่ๆ เป็นแม่กลิ่นในศตวรรษที่ 18 มีการใช้น้ำหอมตัวใหม่ๆ และขวดน้ำหอม ที่ผลิตขึ้นอย่างสุรุ่ยสุร่ายแม้กระทั่งมีการเติมน้ำหอมลงไปในถ่านร้อนๆ เพื่อให้เกิดกลิ่นหอม ในวันที่เรียกกันว่า " Ash Wednesday " เถ้าถ่านแห่งวันพุธ ความเจริญก้าวหน้าในด้านอุตสาหะกรรมเคมี ในศตวรรษที่ 19 ทำให้มีการผลิตน้ำหอมสังเคราะห์ ตลอดจนถึงน้ำหอมที่สกัดจากธรรมชาติ และการประดิษฐ์ขึ้นของน้ำหอมกลิ่นใหม่ การผลิตน้ำหอมในเชิงทางการค้าได้อุบัติขึ้นในฝรั่งเศส ณ.เมืองกราเซ ( Grasse) ท่ามกลางความเจริญมั่งคั่งของธุรกิจทางการค้า น้ำหอมความหรูหราความก้าวหน้าเป็นเครื่องหมายแสดงถึงความรุ่งเรืองในศตวรรษ ที่ 20 น้ำหอมยังคงเป็นขุมสมบัติที่ถูกรักษาไว ้เพื่อรอการขุดค้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้เข้าสู่โลกของศิลปะและสิทธิพิเศษ ตลอดจนได้เข้าสู่สมรภูมิการค้าที่ปราศจากความปราณี
น้ำหอมในทางโบราณคดีแบ่งตามประเทศ และอารยธรรม อียิปต์โบราณ
แม้ว่าน้ำหอมรุ่นใหม่ๆ ในปัจจุบันจะมีพื้นฐานเป็นส่วนผสมของแอลกอฮอล์ แต่ในสมัยอียิปต์โบราณหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ น้ำหอมมีบทบาทสำคัญในการเจริญก้าวหน้าของสังคมเป็นอย่างมากมีสองปัจจัยหลัก ในการใช้น้ำหอม
ในขณะนั้นใช้ในการเผาเพื่อกลิ่นหอม และผสมเป็นขี้ผึ้งเพื่อทาตัว วิธีการอบหรือรมควัน ตลอดจนการเผาไม้หอม , เครื่องเทศ , ผลไม้แห้ง และยางไม้ต่างๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งกลิ่นหอมนานาชนิดที่กระจายไปในอากาศได้กลายเป็นแนวทาง ปฏิบัติภายในวัดเพื่อพิธีกรรมทางศาสนาจากวัตถุดิบพื้นๆ ได้กลายเป็นการผสมผสานเครื่องหอมหลายชนิดเข้าด้วยกัน ให้ได้มาซึ่งกลิ่นหอมใหม่ๆ หลักฐานสำคัญที่ได้ค้นพบในบทบันทึกของ EDFOU และPHILAE เป็นข้อมูลอันล้ำค่าที่ได้บอกเล่าถึงวิวัฒนาการเกี่ยวกับน้ำหอมจากตัวอักษร โบราณ ในเอกสารเก่าแก่ที่ได้ค้นพบในสมันนั้น เราได้ทราบถึงรายละเอียดเกี่ยวกับตำรา หรือวิธีปรุงแต่งกลิ่นหอมตามตำรับโบราณ เครื่องหอมที่ขึ้นชื่อและสำคัญในสมัยนั้น อาทิ KYPHI MYRRH,LENTISK,JUNIPER , FENUGREENSEED,PISTACHIO และ CHUFA ได้ถูกนำมาบดและร่อนเป็นผงละเอียด ผงเหล่านี้ได้ถูกนำมาผสมกับไวน์ ก่อนจะถูกนำมาต้มพร้อมกับยางสน และน้ำผึ้งให้ข้นและเหนียว ชาวอียิปต์ได้ใช้สองสิ่งประดิษฐ์นี้ในการเผาเครื่องหอม ภาชนะเผาเครื่องหอมด้วยถ่านชนิดโลหะ และ INCENSE ARM เครื่องมือจับเครื่องหอมมีลักษณะเป็นด้ามถือไม้หรือโลหะ มีปลายอีกด้านหนึ่งสามารถรองรับด้วยโลหะเล็กๆ ที่บรรจุเครื่องหอมอยู่ ขี้ผึ้งหอมและน้ำหอมได้มีการนำมาใช้กับผิวหนังบนร่างกาย ทั้งทางในลักษณะของเครื่องสำอางค์ และทางด้านยา เนื่องจากการกลั่นและแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ ยังไม่เป็นที่รู้จักในสมัยนั้น ดังนั้นไขมันสัตว์และน้ำมันพืชได้ถูกนำมาใช้ในการดูดซึมซับกลิ่นหอม จากดอกไม้และยางไม้ สีผสมและยากันบูดได้ถูกผสมลงไปในสารสกัดนั้นด้วย ขี้ผึ้งหอมที่ได้มาได้ถุกแบ่งบรรจุไว้ในหม้อ และแจกันซึ่งสลักจากหินปูนชนิดหนึ่ง เครื่องปั้นดินเผา , หินแกะสลัก , หรือขวดเซรามิกสำหรับบรรจุจะถูกทำขึ้นเป็นรูปสัตว์ ขวดแก้วได้ถูกค้นพบในเวลาต่อมา ในรูปแบบเหยือก แจกัน และแก้วเหล้าที่มีสีผสมหลายๆสีในชิ้นเดียวกัน ในระหว่างสมัยเก่าและกลางในอาณาจักรที่ปกครองโดยพระเจ้าแผ่นดิน น้ำหอมได้ถูกสงวนไว้เพื่อใช้ในพิธีกรรมเฉลิมฉลองต่างๆ โดยเฉพาะ อาทิพิธีฉลองทำความสะอาดร่างกาย ใช้ชโลมร่างกายของผู้ตายและบูชาเทพเจ้า ในที่สุดน้ำหอมได้ถูกนำมาใช้สำหรับเทศกาลต่างๆ ในสมัยอาณาจักรสมัยใหม่ ปี ค.ศ. 1580 - 1085 ก่อนคริสตกาลซึ่งเรียกกันว่าเป็นน้ำหอมพิเศษสำหรับเทศกาลแต่อย่างไรก็ตามน้ำ หอมเหล่านั้นก็ยังถูกจัดเตรียมขึ้นโดยพระผู้สอนศาสนา สตรีอียิปต์ก็ใช้น้ำหอมในรูปครีมและน้ำมันหอมระเหยในรูปของ TOILETRIES และเครื่องสำอาง เพื่อเสริมสร้างเสน่ห์ตัวเองในระหว่างมีความสัมพันธ์ทางเพศกับคู่รักของตน
ยุคสมัยกรีก
เจริญรอยตามตามชาวอียิปต์ ชาวกรีก ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์น้ำหอมขึ้นมาอีกมากมายทั้งเพื่อจุดประสงค์ทางการใช้ใน พิธีกรรมทางศาสนา และใช้ประจำวัน น้ำหอมได้มาเป็นแฟชั่นในยุคกรีก ได้มีการนำมาใช้กับเสื้อผ้า บนเรือนร่าง ทั้งในรูปของน้ำมันและครีม ไม่ว่าเป็นหลังอาบน้ำชำระล้างร่างกายก่อนและหลังอาหาร ด้วยจุดประสงค์ของสุขลักษณะและความสุขส่วนตัว ชาวกรีกเชื่อว่าน้ำหอมเป็นของขวัญที่พระเจ้าประทานให้ร่างกายของผู้ตายจะถูก ชโลมด้วยน้ำหอมก่อนที่จะนำไปฝัง พร้อมกับของใช้ส่วนตัวของผู้ตาย
ซึ่งมักจะมีขวดบรรจุน้ำหอมด้วย ครีมน้ำหอมได้ถุกบรรจุด้วยภาชนะทรงกลม ซึ่งทำให้สามารถนำไปใช้กับร่างกายโดยตรงได้อย่างสะดวกสบาย ภาชนะที่ใช้บรรจุสมันนั้นมักทำจากหินปูนขาวชนิดหนึ่ง และถูกตกแต่งให้สวยงามตามแบบฉบับของสไตล์เอเธน ( ATHENIA STYLE) จากศตวรรษที่ 16 ก่อนคริสตกาลเป็นต้นมา ขวดต่างที่ทำในเกาะโรดส์( RHODES ) ในแคว้นแหลมบอลข่าน จะมีรูปทรงตามแบบต้นฉบับดั้งเดิมจะมีฐานที่ค่อนข้างกว้าง ส่วนบนเป็นรูปสลักครึ่งตัวของเทพเจ้า , รูปสัตว์ , รูปนางเงือก และอื่นๆ
ยุคสมัยโรมันด้วย อิทธิพลจากประเทศในตะวันออกและกรีก ชาวโรมันไม่ทำการศึกษาค้นคว้าน้ำหอมด้วยความหลักแหลม และรวดเร็วพร้อมไปกับเกียรติภูมิอันยิ่งใหญ่ของชาวโรมัน ถึงแม้ว่าจูเลียต ซีซ่า ( JULIUS CAESAR) ผู้ยิ่งใหญ่จะมีความประสงค์ให้ระงับการใช้น้ำหอมที่ได้มาจากต่างแดน การใช้น้ำหอมในพิธีศพ และพิธีกรรมทางศาสนา ตลอดจนชีวิตประจำวันของชาวโรมัน จนถึง อินเดีย , แอฟริกา ตลอดจนแผ่ขยายออกไปอย่างกว้างขวางแถบอาหรับ โดยสืบเนื่อง
จากการเจริญเติบโตของเส้นทางเดินเรือตลอดจนความรุ่งเรือง การเดินทางของเหล่าพ่อค้าวานิช ซึ่งได้มีการเดินทางติดต่อระหว่างทวีปใหม่ๆ ในสมัยนั้น การค้าขายน้ำหอมในสมันนั้นมักจะเชื่อมโยงกับทางการแพทย์ เภสัชกร และร้านขายยา ชาวโรมันเชื่อว่าน้ำหอมมีคุณสมบัติทางด้านเป็นยารักษาโรค การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ ่ได้แก่การนำเครื่องแก้ว มาเป็นภาชนะบรรจุเครื่องหอมต่างๆ ชาวโรมันได้พัฒนาเทคนิคการเป่าแก้ว ซึ่งได้คิดค้นขึ้นในประเทศ ซีเรีย ( SYRIA) ในศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสตกาล
ยุคแห่งโลกอิสลาม
การแผ่ขยายอำนาจของอาณาจักรคริสเตียน ในโลกตะวันตก ได้นำมาซึ่งความเสื่อมถอยของการใช้น้ำหอม ทั้งในด้านชีวิตประจำวันเพื่อความพอใจส่วนตัวและทางด้านพิธีกรรมทางศาสนา การฝังเครื่องใช้ส่วนตัวของผู้ตาย ได้เป็นไปในทางลดลงจนถึงจางหายไปในทางตรงข้ามกลับมีชีวิตชีวาและเจริญ รุ่งเรืองในโลกอาหรับสืบเนื่องจากธุรกิจจากการค้าเครื่องเทศ การคิดค้นและประดิษฐ์เครื่องกลั่นตลอดจนเทคนิคการกลั่นใหม่ๆ สวนดอกไม้ในพระราชวังอัลฮัมบรา ( ALHAMBRA PALACE) ในเมืองทางตอนใต้ของประเทศสเปน ชื่อ กรานนาดา( GRANADA) เป็นสิ่งเพียงพอสำหรับการยืนยันถึงความสง่างาม โก้หรู และบทบาทความสำคัญของน้ำหอม ที่มีต่อการใช้ชีวิตประจำวันของคนสมัยนั้นแม้กระทั่งโมฮัมเม็ด ( MOHAMMED) เองก็ยังทรงตรัสว่าสิ่งที่ท่านรักมากที่สุดในโลกได้แก่ สตรี เด็กและน้ำหอมยุโรปกลับต้องรอจนกระทั่งสงครามครูเสด ( CRUSADES) และการแทรกแซงจากนักรบครูเสดชาวเวนิสซึ่งเป็นผู้ขับเคลื่อนให้ชาวโลกเรียก ร้องเกี่ยวกับความสุขกายสบายใจ มากกว่าความยึดมั่นในพระเจ้า และความเคร่งครัดทางศาสนา การค้นพบวิธีการใช้สบู่และตลอดจนการกลับมานิยมใช้น้ำหอม
ประวัติน้ำหอม ตอน 2
Barbarianประวัติ ความเป็นมาของน้ำหอมจากยุคกลาง สู่ศตวรรษที่ 17 ความตกต่ำของจักรวรรดิ์โรมันและจากการรุกรานของพวกป่าเถื่อน (Barbarian)และสงครามที่ไม่มีวันจบสิ้น ส่งผลให้ความเจริญทางด้าน น้ำหอมของโลกตะวันตกได้ตกอยู่ในโลกมืด ความสำคัญเกี่ยวกับน้ำหอม ที่มีต่อชีวิตประจำวันได้ลดน้อยลง
ตราบจนกระทั่งในศตวรรษที่ 20 จากการพัฒนาทางการค้าสากล ความตกต่ำทางด้านน้ำหอมจึงได้หยุดลง การก่อตั้งของมหาวิทยาลัยในหัวเมืองสำคัญต่างๆ พร้อมกับการศึกษาค้นคว้าทางเคมี ตลอดจนเทคนิคการกลั่นที่ได้เรียนรู้จากโลกอาหรับได้เพิ่มพูนความรู้ทักษะและ เทคนิคในการผลิตน้ำหอมในสมัยนั้น ในขณะที่ Frank incense และ Myrrh ยังคงเป็นน้ำหอมที่ใช้ในการสักการะบูชา พระเจ้าแผ่นดิน ขุนนาง และผู้ครองแคว้นได้ค้นพบถึงความรู้สึกสะอาดและคุณสมบัติทางด้านชวนให้หลงใหล ของน้ำหอม
เมื่อฉีดกระจายลงบนเสื้อผ้าของพวกเขา พวกเขาจะอาบน้ำด้วยน้ำหอมระเหยจากดอกไม้เป็นประจำ เพื่อเคลือบตัวของพวกเขาด้วยน้ำมันหอมเหมือนดั่งพวกเอเธน ที่เคยทำมาก่อน แม้ว่าจะมีข้อจำกัดที่มากกว่า ในทางตรงข้ามกับความรู้ที่ได้รับ การซักล้างและการอาบน้ำได้รับความนิยมมากในช่วงยุคกลาง ( Middle ages) ภาชนะบรรจุชนิดใหม่ๆ ได้ถูกออกแบบขึ้น สำหรับการเก็บ Musk , Ambergris และน้ำมันหอมระเหยชนิดต่างๆ ตลอดจนการค้นพบของยางสนและยางไม้หอมต่างๆ กล่องใส่น้ำหอมทรงกลมในลักษณะคล้ายลูกโลกทำด้วยโลหะ ซึ่งสามารถแพร่กระจายกลิ่นผ่านทางฝาเปิดส่วนบนที่ตกแต่งไว้อย่างสวยงาม น้ำหอมได้รับการเชื่อว่ามีคุณสมบัติในการบำบัดโรค สามารถบำบัดโรคระบาดต่างๆ โรคเกี่ยวกับผิวหนัง ระบบย่อยอาหาร ใช้ในสารกันบูด เป็นต้น
Venice, Italyใน ขณะที่เครื่องเทศได้ถูกนำเข้าสู่ยุโรปโดยผ่านเมืองเวนิส( Venice) เมืองนี้จึงได้กลายเป็นศูนย์กลางแห่งน้ำหอม มาโคโปโร ( Marco Polo) ได้เดินทางกลับจากการเดินเรือของเขาพร้อมพริกไทย , ลูกจัน และกานพลู นักเดินเรือชาวอาหรับเดินทางนำเครื่องเทศไปยังอินเดียและซีลอน ( Ceylon) ซึ่งพวกเขาสามารถทำการค้ากับพ่อค้าชาวเอเชีย และได้นำเครื่องเทศจากประเทศจีนและประเทศมาเลเซีย
พวกเขาได้นำเอาอบเชย , ขิง , ลูกกระวาน และ Saffron ( หญ้าฝรั่งชนิดหนึ่งมีสีส้ม) ในขณะที่ Aniseed ,Thyme ,Sage , Basil และ Cumin ได้มีการเพาะปลูกแล้วในยุโรปมาช่วงระยะหนึ่งแล้ว ในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 14 ได้ปรากฏพบซึ่งน้ำหอมในรูปของเหลว ผลิตโดยการผสมและปรุงแต่งให้เข้าด้วยกันกับน้ำมันหอมระเหยหลากชนิดและ แอลกอฮอล์ ซึ่งเรียกกันในชื่อว่า Eaux de senteur หรือกลิ่นหอมในสมัยนั้น นี่เป็นเรื่องราวที่น่าสนใจมาก เชื่อมโยงไปยังจุดเริ่มต้นของการผลิตน้ำหอม Rosemary และได้รับการตั้งชื่อหลังจากพระราชินีของฮังการีตามตำนานที่เล่าต่อกันมา พบว่ากลิ่นหอมได้ถูกถวายให้กับราชินีอลิซาเบธ ของฮังการี( Queen Elizabeth of Hungary) ในปีคศ.1380 โดยขณะที่พระราชินี มีพระชนณ์มายุได้ 70 พรรษา และทรงมีพระวรกายที่ทรุดโทรม แต่เมื่อพระนางได้ดื่มน้ำจันที่นักบวชถวายให้ ร่างกายก็ฟื้นดีขึ้น เรื่องเล่าได้บอกว่ามันได้ทำให้พระนางกลับเป็นสาวอีกครั้งถึงขนาดที่พระราชา จากโปแลนด์ ( Poland) ได้ขอแต่งงานด้วย
Basil Aniseed Cumin Sage Thymes
การค้นพบอเมริกาในศตวรรษที่ 14 ทำให้เมืองเวนิส ( Venice) ต้องสูญเสียความเป็นศูนย์กลางของน้ำหอม เริ่มต้นจากชาวโปตุเกส ( Portuguese) และชาวสเปน ( Spain) ได้ขยายอาณาจักรการค้าเครื่องเทศโดยมี วานิลา โกโก้ ใบยาสูบ อบเชย และอื่นๆ ในศตวรรษที่ 16 ชาวดัช ( Dutch) ได้เป็นผู้ให้คำแนะนำในการผลิต และพัฒนาวิธีการเพาะปลูกใหม่ๆให้ชาวท้องถิ่น Eaux de senteur ได้เพิ่มชนิดและจำนวนขึ้น เริ่มจากการผสมน้ำมันหอมระเหยเดี่ยวเข้าด้วยกัน แอลกอฮอล์ เช่นกุหลาบ ลาเวนเดอร์ ดอกส้ม เป็นต้น หรือผสมกันหลายกลิ่น ซึ่งมีการผสมระหว่าง ดอกไม้ เครื่องเทศ รวมทั้ง มัส ( Musk) แอมเบอร์กริส ( Ambergris) ในทางความต้องการทางเวชศาสตร์ มันได้ช่วยในการจำกัดกลิ่นที่ไม่พึงปรารถนาที่ผลิตโดยร่างกายของเรา ในขณะที่ช่วงกลางศตวรรษของยุโรปเป็นช่วงแห่งการให้ความสำคัญในสุขลักษณะ เฉพาะบุคคล มีความแตกต่างเรื่องการฟื้นฟูศิลปะวิทยาในทวีปยุโรประหว่างศตวรรษที่ 14 และ 16 เมื่อถูกกำหนดให้เป็นพาหะนำโรคร้าย และการติดเชื้อ ศาสตร์และเทคนิคการเป่าแก้วของชาวเวนิสได้ถูกนำมาใช้ในการผลิตขวดยาขนาด เล็กๆ และหลอดแก้วเล็กๆ สำหรับบรรจุน้ำหอม คริสตัล และแก้วสีขาวขุ่น ตลอดจนเครื่องเขียนจากตะวันออก เริ่มได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ขวดรูปลูกแพ ( Pear-shaped bottle) ทำจากวัสดุที่กล่าวมาข้างต้นตลอดจากทำจากโลหะ ได้ถูกค้นพบเป็นจำนวนมาก ได้แก่ ภาชนะรูปทรงกลมคล้ายลูกโลก , ภาชนะคล้ายผลส้ม ซึ่งสามารถแบ่งเป็นกลีบๆได้และในแต่ละกลีบนั้นบรรจุน้ำหอมในกลิ่นที่ต่างๆ กันไป น้ำหอมได้เดินทางมาถึงจุดที่รุ่งเรืองที่สุดในศตวรรษที่ 17 ความบ้าคลั่งในการพัฒนาน้ำหอม กระทั่งการละเลยในเรื่องของมาตรฐาน ความสะอาดของใบหน้าและวิกผมที่ใส่กันเวลาพิพากษาในศาล ในสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ยังถูกทำให้หอมด้วยแป้งหอม และน้ำหอม ปี ค.ศ.1656 ถุงมือหอมได้ถือกำเนิดขึ้น ความหลงใหลในการสวมใส่ถุงมือของชนชั้นสูงโดยการขาดการเรียนรู้ถึงวิธีที่ถูก ต้อง ทำให้เกิดกลิ่นที่ไม่พึงปรารถนาบนผิวหนัง น้ำหอมชนิดแรงจึงถูกนำมาใช้ในการกลบกลิ่นโดยพระบรมราชูปถัมภ์ของพระเจ้า หลุยส์ที่ 13-14 ผู้ผลิตถุงมือได้ใช้โอกาสในการเป็นผู้จำหน่ายเพียงผู้เดียวของผู้กลั่นน้ำ หอมและนักผลิตน้ำหอม
ในศตวรรษที่ 17 ได้เริ่มมีการใช้ Jasmin, Tuberose และ Rose ในกลุ่มของวัตถุดิบเหล่านี้มาผลิตน้ำหอม เครื่องหอมบรรจุในขวดรูปทรงกลมได้มีการกระจายการใช้กว้างขึ้น และได้ใช้ต่อกันมาจนกระทั่งปลายศตวรรษที่ 18 ขวดได้ถูกผลิตขึ้นในรูปแบบต่างๆ เช่นผลแพร ( Pear shape) ทำให้มีหลายสีสัน เช่นทำให้มีสีใสคล้ายคริสตัล และสีขุ่น การแกะสลักเป็นลวดลายบนภาชนะเงินปิดด้วยทองเป็นที่นิยมมาก การเคลือบด้วยทองแดง , เงิน , ทอง หรือแม้กระทั่งประดับด้วยพลอยประดิษฐ์ประดอยตามแบบที่นิยมกันในศตวรรษที่ 17
ประวัติ น้ำหอม ตอน 3
พระเจ้า หลุย์ที่ 15ใน ประเทศฝรั่งเศส ยุคแห่งปรัชญาและการประวัติทางวัฒนธรรม และยังเป็นยุค แห่งความโชติช่วงของแวดวงน้ำหอมด้วยเช่นกัน ในพระราชสำนักของพระเจ้า หลุย์ที่ 15 (LOUIS XV) ซึ่งได้รับ การขนานนามว่าเป็นราชสำนักแห่งน้ำหอม เครื่องหอมนานา ชนิดไม่ได้ถูกนำไปใช้เฉพาะกับร่างกายเท่านั้น แต่ยังได้ถูกนำ ไปใช้เพิ่มความหอมให้กับเครื่องใช้ต่างๆ เช่น เสื้อผ้า พัด ตลอดจนเฟอร์นิเจอร์ ต่างๆเพื่อให้กลิ่นหอมตลบไปทั่วเขต พระราชฐาน
ในขณะที่ Beaux De Senteur (เครื่องหอมชื่อดังในสมัยนั้น) ได้รับความนิยมอย่าง กว้างขวางมากขึ้น การแข่งขันในการผลิตเครื่องหอม ได้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงรูป แบบให้ซับซ้อนมากขึ้นเช่นกัน โดยมีการ ละลายเครื่องหอมกับน้ำส้มสายชูและเกลือ (vinaigre de toilette or salts) เพื่อใช้ในการฆ่าเชื้อโรค และดับกลิ่นไม่พึง ประสงค์ หนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงสูงสุดในยุคนั้นชื่อ “four thieves vinaigre” (ซอสหอมชนิดหนึ่งของฝรั่งเศส) และได้สร้างความมั่งคั่งให้กับเจ้าของสินค้าในเมือง MARSEILLES อย่างมหาศาล
ในปี คศ. 1720 ได้เกิดโรคระบาดครั้งใหญ่ในฝรั่งเศส ได้ปรากฏชื่อ four thieves(สี่จอมโจร) ซึ่งไม่มีใครไม่รู้จัก กลุ่มโจรขโมยสมบัติตามหลุมฝังศพของบรรดาเศรษฐีของฝรั่งเศส ครั้งหนึ่งกลุ่มสี่จอม โจรได้เข้าไปขโมยขุดหลุมฝังศพแห่งหนึ่งซึ่งเป็นศพที่ติดเชื่อโรคระบาด แต่ทั้งสี่กลับปลอดภัยจากการ ติดเชื้อเนื่องจาก Vinaigre ที่ทั้งสี่ได้ผลิตขึ้นใช้เอง และหลังจากสี่จอมโจรถูกจับเรื่องราวที่พวกเขา ปลอดภัยจากโรคติดต่อก็แพร่สะพัดไปทั่วฝรั่งเศส และทั้งสี่ก็จำเป็นต้องขายสูตรมหัศจรรย์ของเขาให้ผู้อื่น ด้วยผลตอบแทนอันน้อยนิด ดูเหมือนว่าสูตรลับของเหล่าโจรจะมีความสามารถในการขับไล่แมลงร้ายต่าง ๆ ซึ่งเป็นพาหะในการแพร่เชื้อโรคมาสู่ร่างกายมนุษย์
ในศตวรรษ์ที่ 18 เป็นช่วงเวลาแห่งการปฏิวัติน้ำหอมสู่ยุคใหม่ พร้อมกับการเกิด Eau de cologne (ออดิโคโลญน์) สารเหลวแห่งความสดชื่น อันประกอบด้วย ROSEMARY, NEROLI(ORANGE FLOWER), BERGAMOT, และ LEMON OIL Eau de cologne ได้ถูกนำไปใช้งานใน หลากหลายรูปแบบ บ้างก็ใช้ผสมน้ำสำหรับแช่อาบ(การแช่ในอ่างอาบน้ำได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก และปฏิบัติเป็นกิจวัตในยุคนั้น) บ้างใช้ทำน้ำยาบ้วนปาก บ้างใช้ทำน้ำยาสวนทวารหนัก (DETOX) บ้างใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับฟอกเรือนร่าง และยังมีการใช้ฉีดเข้าร่างกายโดยตรง เป็นต้น จากความนิยม สูงสุดของ Eau de cologne ทำให้เกิดการโต้แย้งอวดอ้างมากมายถึงสรรพคุณในผลิตผลของเจ้าของ สูตรแต่ละราย ต่างก็เขียนสูตรของตนเองเป็นเอกสารเพื่อล้มล้างเอาชนะสร้างความน่าเชื่อถือ กับฝ่าย ตรงข้าม และหนึ่งในตัวอย่างคือความขัดแย้งระหว่างตระกูล FEMINIS และ ตระกูลFARINA FAMILIES หนึ่งในผู้นำทฤษฎีที่น่าเชื่อถือที่สุดคือตระกูล FARINA FAMILY FORM EMILIA ทางตอนเหนือของอิตาลี ผู้ค้นพบสูตรน้ำหอมดังแห่งยุคชื่อ Eau de bologna อีกสูตรที่ได้รับ ความนิยมอย่างกว้างขวาง ระหว่างศตวรรษที่ 14 คือ Aqua regina น้ำหอมสูตรลับของสำนักแม่ชี SANTA MARIA NEVELLA IN FLORENCE สูตรลับนี้ถูกปิดเป็นความลับมาตลอดจน กระทั่งศตวรรษที่ 17 ได้มีชาวอิตาเลียนชื่อ Giovanni paolo feminis ได้ลวงให้หัวหน้าแม่ชีเปิดเผย สูตรลับ Aqua regina ให้กับตน หลังจากได้สูตรลับนี้แล้ว Giovanni Paolo ได้ประกาศตนเป็นนักปรุงน้ำหอม ดำเนินการผลิต Colonge ภายใต้ชื่อ “Eau Admirable” โดยไม่ต้องเสียเวลาแม้แต่นาทีเพื่อคิดค้น สูตร ซึ่งต่อมาเป็นที่รู้จักในนาม “Eau de cologne” และสูตรน้ำหอมนี้ต่อมาได้ตกทอดสู่มือหลานชาย ชื่อ Gian Maria Farina ผู้ซึ่งสืบทอดและขยายกิจการของลุงให้ใหญ่โตจนถึง คศ.1766 หลังการจาก ไปของ Gian maria farina บุคคลอื่น ๆ ในตระกูล Farina ก็ได้เข้าอ้างสิทธิในสูตรลับ Eau de Cologne และต่อมาในปี คศ. 1865 พบว่ามีร้านจำหน่าย Cologne ในชื่อนี้มากกว่า สามสิบเก้าร้าน กระจายอยู่ทั่วไป อย่างไรก็ตาม Jean marie farina (ไม่มีผู้ใดทราบว่าเป็นนามจริงหรือสมมุติขึ้น) ได้ริเริ่มแนวคิดที่จะผลิต cologne ของเขาให้แตกต่างจากร้านอื่น ๆ โดยได้ตั้งหลักปักฐานขึ้นในเมือง ปารีส ประเทศฝรั่งเศสในปี คศ.1806 คุณภาพที่ดีเยี่ยมของน้ำหอมที่เขาผลิตขึ้นประกอบกับความเป็น อัจฉริยะทางการขายของคู่ครองของเขา ได้ทำให้น้ำหอมที่เขาผลิตขึ้นสร้างชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือกันไปทั่ว เห็นได้จากหนึ่งในลูกค้าประจำที่สำคัญคือ จักรพรรดิ Napoleon ที่ยิ่งใหญ่แห่งฝรั่งเศส
เรื่องราวเกี่ยวกับน้ำหอมที่น่าสนใจอีกเรื่องต้องขอย้อนกลับไปในปี คศ. 1792 ในงานแต่งงานของบุตร ชายนายธนาคาร ชื่อ Wihelm ณ.สำนักงานใหญ่ของธนาคาร MÜLHENS BANK ในเมือง Cologne ประเทศเยอรมันนี มีพระสงฆ์ที่มาร่วมงานผู้หนึ่ง ได้มอบเอกสารเขียนด้วยลายมือ ซึ่งเป็นสูตร ลับในการผลิตสารที่มีกลิ่นหอม และมีคุณสมบัติทางยาให้เป็นของขวัญแก่คู่บ่าวสาว ชื่อ “Aqua mirabilis” ต่อมาเจ้าบ่าวหนุ่มน้อยได้ใช้สูตรนี้ในการผลิตและจำหน่ายน้ำหอมนี้ภายใต้ ชื่อสินค้า “4711 The true eau de cologne” (4711 คือ เลขที่บ้านที่เขาอยู่ซึ่งกำหนดโดยกองทัพของ จักรพรรดิ์ Napoleon) eau de cologne 4711 ของเขายังคงจำหน่ายมาจนถึงปัจจุบันนี้เป็นเวลากว่า สองร้อยปี โดยผู้สืบทอดทางสายโลหิตของเขา Ferdinand Mülhens และยังคงใช้สูตรดั่งเดิมเหมือน เมื่อปี ค.ศ. 1792
ในศตวรรษที่ 18 เป็นช่วงที่มีการพัฒนาภาชนะบรรจุน้ำหอมให้มีความหลากหลาย ไปตามชนิดของ น้ำหอมและการใช้งาน ฟองน้ำชุบด้วยน้ำหอมบรรจุอยู่ในภาชนะ เคลือบหรือทาไว้ด้วยทอง(AIR FRESHERNER ชนิดแรก) น้ำหอมชั้นดีที่ บรรจ ุในภาชนะรูปทรงแพร (pear shape) เป็นขวดน้ำหอมโปรดของพระเจ้า หลุยส์ที่ 14 นอกจากนี้ภาชนะที่ทำจากแก้ว เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น โดย เฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมีการเปิดโรงงานผลิตเครื่องแก้ว BACCARAT FACTORY ของประเทศ ฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1765 และยังมีความมุ่งมั่นที่จะ พัฒนารูปแบบและคุณภาพ
ของบรรจุภัณฑ์เครื่องแก้วของโรงงาน SAINT-LOUIS GLASSWORKS เจ้าของเครื่องแก้ว คริสตัล (crystal) ที่ได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบัน ยังมีผู้ผลิตเครื่องประดับที่ได้เริ่มหันมาผลิตภาชนะ บรรจุน้ำหอมโดยใช้ทองและเงินแกะสลักลวดลายอย่างงดงาม ลักษณะของขวดน้ำหอมจะใช้แนวศิลปะ แบบ BAROQUEในศตวรรษที่17 เป็นแรงบันดาลใจ แบบฉบับเฉดเช่นของChinoiserie และ Rousseaus Cherished ซึ่งเน้นการกลับสู่ธรรมชาติ ส่วนศิลปะจีนในยุคนั้นจะมุ่งเน้นในการผลิต ภาชนะ Chantilly porcelain bottles (ขวดที่ทำจากเครื่องปั่นดินเผาเคลือบ) ในขณะที่ SAINT-CLOUD FACTORY ดูจะมีชื่อเสียงในการชุบทองและ Sèvres สำหรับภาชนะรูปทรงแพร (pear-shape bottles) แต่ดูเหมือนว่าภาชนะดินเผาเคลือบแบบจีน จะมีคุณสมบัติในการเก็บรักษาคุณภาพ น้ำหอมได้ดีกว่าภาชนะบรรจุของเยอรมันนี,ออสเตรียและอังกฤษ โรงงาน CHELSEA FACTORY ของอังกฤษเป็นผู้เชียวชาญในการผลิตขวดน้ำหอมแกะสลักรูปต่าง ๆ โดยเฉพาะรูปมนุษย์ สัตว์ และผลไม้ โดยส่วนหัวมักจะเป็นจุกหรือฝาเปิดของขวด ขณะเดียวกันโรงงานขวด WEDGWOOD BOTTLES
รูปตัวอย่างขวดน้ำหอมยุคต่างๆ
ของอังกฤษมักออกแบบขวดน้ำหอมเป็นสีน้ำเงินและขาว ในเยอรมันนี โรงงาน MEISSEN FACTORY เป็นโรงงานแรกในยุโรปที่ผลิต porcelain โดยใช้ hard poste (ดินเปียกเหนียวสำหรับปั้นภาชนะ) รูปแบบอย่าง Rococo designs, oriental motifs,รูปดอกไม้,รูปผลไม้และรูปการสู้รบดูจะเป็นที่นิยม มากในสมัยนั้น ในขณะที่โรงงาน CHELESEA FACTORY ของอังกฤษดูจะ ชำนาญในการทำภาชนะไปตามคุณลักษณะของ Commedia dell’arte
ศตวรรษที่ 18 ยังเป็นยุคสมัยของศิลปะ nécessaire ซึ่งเป็นภาชนะบรรจุน้ำหอม ขนาดเล็ก เช่นเดี่ยวกับหลอดแก้วเล็ก ๆ ที่ใช้ในการบรรจุน้ำหอม รูปแบบภาชนะ ที่เรียกกันว่า nécessaire เหล่านี้ มักจะได้รับแรงบันดาลใจจากสิ่งของทรงยาว เช่น ดินสอ แปรงสีฟัน แม้กระทั่งที่สำหรับขูดลิ้น ตลอดจนไม้แคะหูเป็นต้น
ประวัติ น้ำหอม ตอน 4 (การกำเนิด น้ำหอม ยุคใหม่)
เมื่อก้าวเข้าสู่ศตวรรษที่19 วงการน้ำหอมย่อมมีการเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกับการเปลี่ยนแปลง ของวงการอุตสาหกรรม ศิลปะ และรสนิยมที่เปลี่ยนตามกาลเวลา รวมถึงการพัฒนาของ อุตสาหกรรมเคมีที่ได้วางรากฐานสำคัญ ให้กับการพัฒนาอุตสาหกรรมน้ำหอมทึ่เราคุ้นเคยกันดี ในปัจจุบัน การปฏิวัติด้านวัฒนธรรมของฝรั่งเศสในสมัยนั้น ไม่ได้ทำให้รสนิยมในการใช้น้ำหอมลดลงแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำยังได้มีน้ำหอมชื่อ “Parfurm ? la guillotine” (เครื่องที่ใช้ตัดศรีษะ) เกิดขึ้นตามสถานการณ์ทางการเมือง ภายใต้รัฐบาลที่ได้อำนาจมาจากการปฏิวัติรัฐประหาร ประชาชนยังคงใช้สินค้าที่หรูหราฟุ่มเฟือย รวมถึงน้ำหอมชั้นสูงราคาแพง ซึ่งได้กลายเป็นค่านิยมในยุคสมัยนั้นไปเสียแล้วใน สมัยนั้นเนื่องจากจักรพรรดิ์ Napoleon และรัฐสภาของพระองค์เองที่เป็นผู้บริโภคน้ำหอมรายใหญ่ พระนาง Josephine ราชินีในจักรพรรดิ์ Napoleon ผู้สืบสายโลหิตมาจากชาว ครี-โอล (Creole roots) ผู้ซึ่งได้จากไปพร้อม ๆ กับความหลงใหลในเสน่ห์ของน้ำ หอม พระนางได้รับการขนานนามว่า “Lady musk” เนื่องจากการใช้ชีวิตที่หรูหราอยู่กับ Lubin และ Houbigant นักผสมน้ำหอมคนโปรดของพระนางเล่ากันว่า ห้องแต่งตัวของพระนาง ณ Malmaison หอมอบอวลไปด้วย กลิ่นของ musk,civet,vanilla และ ambergris จวบจนเวลาผ่านไปถึงเจ็ดสิบปี
Napoleon
พระนาง Josephineกลิ่น หอมเหล่านั้นยังคงส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลอยู่ภายในห้องของพระองค์ ส่วนจักรพรรดิ์ Napoleon ก็ทรงมีความขัดแย้งในพระองค์เอง เกี่ยวกับความนิยมชมชอบในชนิดของน้ำหอม เพราะในความเป็นจริงพระองค์ก็มิได้ชอบน้ำหอมมากนัก โดยเฉพาะกลิ่นน้ำหอมที่ได้จากการสังเคราะห์ พระองค์ทรงพบว่าบรรยากาศในห้องของพระนาง Josephine นั้นน่าอึดอัดมาก บ่อยครั้งที่พระองค์ทรงต้องหนีห่างไปจากห้องของพระนาง ผู้รับใช้ของจักรพรรดิ์ Napoleon เคยกล่าวไว้ว่า เขาจะนวดตัวของพระองค์ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าด้วยน้ำหอมของ Jean-marie farina
ผู้ผลิตน้ำหอมผู้ซึ่งสามารถคิดค้นได้กระทั่งขวดบรรจุรูปทรงกระบอกสำหรับ พระองค์โดยเฉพาะ เพื่อใช้พรมในรองเท้าบู๊ตของพระองค์ น้ำหอมของพระองค์มีมากพอที่จะใช้อย่างฟุ่มเฟือยได้ไม่ต่ำกว่าหกสิบเดือน พระองค์ทรงตรัสว่า น้ำหอมช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองของพระองค์ อีกทั้งยังมีผลต่อชีวิตรักของพระองค์ด้วย จากจดหมายโต้ตอบที่พระองค์ทรงมีถึงพระนาง Josephine เขียนไว้ว่า “Don't wash,I am on my way and will be with you in a week” “ อย่าได้ล้างมันออก ข้ากำลังเดินทางเพื่อจะไปอยู่กับนางภายในเวลาหนึ่งอาทิตย์ ”
การปฏิสังขรณ์ทางด้านน้ำหอมดูเหมือนจะยังถูกจำกัดอยู่ในวงแคบ ๆ น้ำหอมในยุคสมัยนั้นยังคงเป็นไปในรูปกลิ่นดอกไม้มากกว่ากลิ่นที่ได้มาจาก สัตว์ น้ำหอมชื่อ Les larmes de I'aurore and L'eaude belles เป็นที่นิยมมากในสมัยของพระเจ้า Louis ที่18 ในขณะที่ Charles X Dame Blanche or Troubadous (นักกวี) ก็ดูจะชื่นชอบในการใช้น้ำหอมเป็นประจำ Smelling salt (เกลือหอม) ดูเหมือนจะเป็นสิ่งคู่กายของสาวงาม ที่ช่วยสร้างความ Romantics ให้กับพวกเธอตามสมัยนิยม ระหว่างการครองราชย์ของจักรพรรดิ์องค์ที่สอง จักรพรรดิ์ Eug?nic ได้ทรงฟื้นฟูกลิ่นน้ำหอมซึ่งมีพื้นฐานมาจาก patchouli แต่อิทธิพลทางความคิดของพระองค์ ก็ต้องเสื่อมถอยไปโดยน้ำหอมแนวใหม่ที่ออกมาเป็นจำนวนมาก จากผู้ผลิตน้ำหอมอื่น ๆ
ความนิยมในการปลูก ดอกมะลิ กุหลาบ และต้นส้มเพื่อการค้าในสมัยนั้น ส่งผลให้เมือง Grasse ในฝรั่งเศสได้กลายเป็นศูนย์กลางที่ใหญ่ที่สุดสำหรับการผลิตวัตถุดิบจากพฤกษา ที่ใช้ผสมน้ำหอมทั่วโลก อุตสาหกรรมหลักดั่งเดิมของเมือง Grasse คือ อุตสาหกรรมฟอกหนังและแม้ว่าอุตสาหกรรมน้ำหอมในเมือง Grasse จะเริ่มมีบทบาทมากขึ้นก็ตาม แต่อุตสาหกรรมทั้งสองก็ยังคงมีความเกี่ยวพันกันทางอ้อม ในปี คศ. 1724 ได้มีการก่อตั้งสมาคมผู้ผลิตน้ำหอมขึ้นอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นจุดแบ่งแยกของอุตสาหกรรมหลักทั้งสองของเมือง Grasse อย่างชัดเจน แต่อุตสาหกรรมน้ำหอมนั้นยังคงอยู่ภายใต้นโยบายเพื่อการพัฒนาให้เป็น อุตสาหกรรมหลัก เพื่อให้เป็นเมืองที่นำสมัยในยุคนั้น ระหว่างปี คศ. 1770-1900 บริษัทน้ำหอมชั้นนำได้เกิดขึ้นอย่างมากมาย ซึ่งชื่อของบริษัทเหล่านี้ได้สะท้อนถึงความสำคัญของอุตสาหกรรมน้ำหอมที่มี ต่อการค้าของโลก เช่น Chiris (1768), L.T.Piver(1774), Latier(1795), Roure-Bertrand Dupont(1820), Zozio(1840), Robertet(1850) และ Payan-Bertrand(1854)
Paris ได้ประกาศตัวเองเป็นเมืองธุรกิจและเงาของเมือง Grasse เพื่อเป็นศูนย์กลางแห่งน้ำหอมโลก เกิดความเจริญเติบโตทางธุรกิจ แม้เช่นนั้นบริษัท Jean-marie farina ก็ยังคงดำเนินกิจการอยู่ต่อไป เช่นเดียวกับ Houbigen, Lubin , และ L.T. Piver ก่อนจะขายกิจการให้กับ L?once Collas และถูกขายต่อไปในภายหลังให้กับลูกพี่ลูกน้องของ Armand Roger และ Charles Gallet
บริษัท Roger&Gallet ได้มุ่งมั่นและให้ความสำคัญกับการค้นคว้าและพัฒนาน้ำหอมสมัยใหม่และสบู่ คุณภาพสูง(ซึ่งยังคงมีการผลิตและจำหน่ายในปัจจุบัน) นอกจากนี้ยังเป็นผู้นำในการเอาบรรจุภัณฑ์ที่สวยงาม แปลกตา มาใช้กับผลิตภัณฑ์ของบริษัท ในขณะเดียวกันยังมีบุคคลสำคัญของวงการน้ำหอมอีกหนึ่งท่านคือ Pierre-francois pascal gurelain (ดอกเตอร์หนุ่มนักเคมีผู้เป็นราชนิกุลแห่งราชวงค์ฝรั่งเศส) ในปี ค.ศ. 1828 เขาได้เปิดร้านค้าที่ Rue de rivali เพื่อขายน้ำหอมจากการสร้างสรรค์กลิ่นด้วยตัวเขาเอง และหนึ่งในน้ำหอมที่เขาสร้างสรรค์นั้นก็คือ Eau de cologne imperiale ซึ่งได้สร้างชื่อเสียงให้กับเขาจนได้รับพระราชทานเกียรติให้เป็น Empress eug?ni?s royal warrant และลูกชายของเขา Ain? และ Gabriel ได้เจริญรอยตามบิดาของเขา ได้คิดค้นน้ำหอมดัง Perfume Jicky ขึ้นในช่วงปลายศตวรรษนั้นเอง
อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดในศตวรรษที่ 19 ซึ่งได้ทำให้วงการน้ำหอมก้าวเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรมอย่างแท้จริงก็คือ การเกิดขึ้นของอุตสาหกรรมการผลิตเคมีภัณฑ์ (organic chemistry) ทำให้นักวิทยาศาสตร์ สามารถเข้าถึงความรู้เกี่ยวกับโมเลกุลของน้ำหอม และเกิดการสังเคราะห์เลียนแบบขึ้น ทั้งนี้เท่ากับได้ปลดปล่อยการจำกัดทางความคิดและจินตนาการของนักผลิต ในการสร้างสรรค์ผสมน้ำหอมแนวใหม่ๆ ให้ได้มากขึ้นนอกเหนือจากการเลียนแบบจากธรรมชาติ สัมผัสใหม่ที่ได้รับมาได้เปลี่ยนแปลงให้น้ำหอมในศตวรรษทที่ 20 เปลี่ยนรูปแบบไปในทางศิลปะ มากกว่าจะเป็นเพียงการผสมกลิ่นหอมไปตามธรรมชาติของมันเท่านั้น
การเกิดขึ้นใหม่ของอุตสาหกรรมผลิตขวดโดยใช้เครื่องจักร ไม่สามารถทดแทน หรือทำให้งานฝีมือคุณภาพสูญหายไปได้ Crystal ยังคงไว้ซึ่งความเป็นขุมทรัพย์ที่ล้ำค่า โรงงานต่าง ๆ ในเมื่อ Bohemia ,ฝรั่งเศสและอังกฤษ ยังคงความละเอียดอ่อนทางเทคนิคในการผลิตบรรจุภัณฑ์น้ำหอมอยู่เหมือนเดิม สิ่งสำคัญที่สุดที่เกิดขึ้นในศตวรรษนี้ก็คือ การพัฒนาของนักประดิษฐ์ที่ชื่อ Briflat-Savarin ผู้ประดิษฐ์ atomizer (เครื่องฉีดให้เป็นละออง) ขึ้นในปี ค.ศ. 1870 ซึ่งสิ่งประดิษฐ์ของเขาได้เปลี่ยนแปลงวิธีการใช้น้ำหอม เป็นการ สเปรย์ บนเรืองร่างของเราตราบจนทุกวันนี้
ประโยชน์ของน้ำหอม
การวิจัยมากมายที่แสดงว่า น้ำหอมหรือกลิ่นมีผลต่อคนเราโดยตรง โดยอาจจะลดความเครียด จนถึงการเพิ่มความรู้สึก (Mood). และยังพบว่าน้ำหอมจะทำให้การหลับของเรามีคุณภาพมากยิ่งขึ้น และอาจจะปลุกความทรงจำที่เราอาจจะลืมเลื่อนไปได้ ดังตัวอย่างต่อไปนี้
Stree Reduction (การลดความเครียด)
การวิจัยพบว่าการใช้น้ำหอมในคนเราสามารถช่วยลดความเครียดได้ นักค้นคว้าที่ Sloan-Kettering Cancer ที่ New York ได้พบว่าน้ำหอมลดอาการเครียดของคนไข้ที่ได้รับอาการจากMegnatic resonance imaging (MRI) จากการทดลองให้คนไข้ได้รับกลิ่นน้ำหอมทำให้ลดอาการที่ว่าไปได้ถึง 63%
Quality of Sleep (การหลับอย่างมีสุข)
การวิจัยโดยDr. Peter Badia จาก Bowling Green State University, Department of Psychology ได้ผลการวิจัยออกมาเป็น 2 หัวข้อใหญ่เพื่อศึกษาว่ากลิ่นมีผลต่อการนอนของคนเราหรือไม่ การศึกษาพบว่าพฤติกรรมและจิตใจเราขณะหลับยังสามารถรับรู้ถึงกลิ่นต่างๆได้ เป็นอย่างดี แล้วในการทดสอบต่อโดยการให้ผู้ทดลองได้รับกลิ่น มะลิ, เปเปอร์มินท์,และไม่ได้รับกลิ่น ผลปรากฎว่าว่า กลิ่นมะลิจะทำให้ผู้ทดสอบติ่นขึ้นมาอย่างสบายตัว เปเปอร์มินท์จะทำให้รู้สึกว่าตื่นขึ้นมาอย่างผวา ซึ่งจากการวิจัยแสดงให้เห็นว่าการได้กลิ่นระหว่างการนอนหลับมีต่อการหลับได้ เป็นอย่างดี
Memory (ความทรงจำ)
เป็นการตอบสนองที่น่าทึงที่สุดที่ ได้จากน้ำหอม ทุกคนจะมีประสบการณ์เกี่ยวกับความรู้สึก ไม่ว่าจะดีหรือร้าย หลังจากได้กลิ่นน้ำหอมต่างๆกัน เช่นกลิ่นของรถคันใหม่เอี่ยมที่คุณพึ่งถอยออกมาจากห้าง ซึ่งประสบการณ ์เหล่าเกิดขึ้นจากการได้กลิ่นเพียงครั้งเดียว
Dr. Trygg Engen, professor of psychology at Brown University, พบว่าความสามารถใน การจำกลิ่นของคนเรามีมากกว่าความสามารถในการจำภาพที่เราเห็น คนเราจะสามารถจำ กลิ่นได้แม่นยำเกือบ 65% ภายในระยะเวลาหนึ่งปี เทียบกับการจำภาพแค่ 50% ในเวลาแค่ 4 เดือน ซึ่งเป็นผลมาจากส่วนประสาทในสมอง "memory bank" ซึ่งการรับกลิ่นของคนเราจะถูกควบคุมโดยLimbic System ซึ่งเป็นระบบที่ควบคุมความรู้สึก (Emotion)และการตอบสนองทางเพศ, ศิลปะและอื่นๆ ซึ่ง Limbic System จะเก็บรวบรวมความรู้สึกต่างๆที่เรามีประสบการณ์ไว้
น้ำหอมทำให้เรา รู้สึกSexy, กระชับกระเชง,แข็งแรง, สะอาด, มีความสุข,อ่อนหวาน, สร้างสรรค์, และ ความรู้สึกอื่นๆอีกมากมาย คนเราจะตอบสนองน้ำหอมกลิ่นต่างๆไปในแบบที่ต่างกัน ความเป็นไปได้ท ี่น้ำหอมจะมีผลต่อการตอบสนองนั้นไร้ขีดจำกัด กลิ่นต่างๆที่จะสัมผัสได้หรือไม่ได้ได้เข้ามา อยู่ในชีวิตประจำวันของเรา คนเป็นล้านอาจจะต้องตายไปถ้าไม่สามารถได้กลิ่น ของควันไฟเมื่อเกิดเหตุไฟไหม้ เราใช้ความรู้สึกในการดมเพื่อแยกอาหารที่เสีย "มนุษย์เรา, ดังบรรพบุรุษของเรา สามารถรับรู้ถึงกลิ่นของพวกเราเองและกลิ่นที่เกิดตามธรรมชาติเช่น กลิ่นของต้นไม้,ดอกไม้หรืออาหาร. ซึ่งเป็นกลิ่นที่ถูกสร้างจากธรรมชาติและถูกออกแบบ ออกมาเป็นกลิ่นต่างๆ ที่เราสามารถพบในน้ำหอมที่มีขายทั่วไป
น้ำหอมมีส่วนผสมหลัก 2 อย่างคือ หัวเชื้อน้ำหอม/น้ำมันหอม และแอลกอฮอล์ โดยน้ำหอมที่จำหน่ายทั่วไปนั้นจะได้จากการนำหัวน้ำหอมมาเจือจางด้วยแอลกอฮอล์ ซึ่งแอลกอฮอล์จะช่วยให้น้ำหอมกระจายในอากาศ จากการระเหย และมีการเติมสารบางชนิดเช่น musk เพื่อให้กลิ่นติดทนนานขึ้น
หากจะแบ่งชนิดของน้ำหอมออกตามความอัตราส่วนของหัวเชื้อน้ำหอมและแอลกอฮอล์ อาจแบ่งได้เป็น 3 แบบใหญ่ๆตามระดับความเข้มข้นของน้ำมันหอมหรือหัวน้ำหอม
โดยปกติแล้วน้ำหอมทั่วไปที่ขายอยู่ตามท้องตลาดมักจะเป็น EDT ซึ่งความเข้มข้นของน้ำหอมระดับนี้ยังนิยมใช้ใน ผลิตภัณฑ์อื่นๆไม่ว่าจะเป็น พวกเครื่องสำอาง ครีม โลชั่น ยาสระผม และผลิตภัณฑ์อื่นๆอีกหลากหลายชนิด
Fragrant Note - ระดับของความหอม
Top Note กลิ่นหอม กลิ่นสัมผัสแรกที่คุณจะได้รับเมื่อฉีดน้ำหอม ซึ่งกลิ่นที่ว่านี้จะมาให้คุณได้สัมผัสเพียงชั่วเวลาไม่กี่นาที จากนั้นกลิ่นที่ว่านี้จะจางหายไป โดยส่วนใหญ่แล้ว มักจะใช้กลิ่นที่สดชื่น เช่น มะนาว ส้ม หรือกลิ่นสดชื่นๆจากดอกไม้ต่างๆ ซึ่งกลิ่นนี้ถือว่าสำคัญมากเพราะเป็นกลิ่นเปิดตัว เพื่อให้เกิดความรู้สึกประทับใจตั้งแต่สัมผัสแรก โดยกลิ่นในขั้นนี้มักติดอยู่ได้ประมาณ 15-20 นาที
Middle Note กลิ่นสัมผัสถัดมาที่จะได้รับ หลังจากฉีดน้ำหอมแล้วประมาณ 15 นาทีเป็นอย่างน้อย แต่การติดทนจะติดนานเป็นชั่วโมงเลยทีเดียว กลิ่นในขั้นนี้ ถือเป็นกลิ่นที่มีการกระจายตัวของกลิ่นได้เต็มที่ที่สุด เป็นกลิ่นจริงๆหรือเป็นหัวใจของน้ำหอมกลิ่นนั้นๆเลยทีเดียว เพราะจะเป็นกลิ่นที่ให้ความรู้สึกถึงบุคลิกและลักษณะเฉพาะตัวของน้ำหอมนั้นๆ อย่างชัดเจน โดยมากมันจะใช้กลิ่นจำพวก ดอกไม้หายาก ที่มีราคาสูง หรือ อาจจะเป็น วนิลา เป็นต้น ซึ่งกลิ่นนี้จะติดผิวกายได้นานถึง 2-4 ชั่วโมงเลยทีเดียว
Base Note/Bottom Note เป็นกลิ่นหลังสุดที่ติดนานที่สุด ติดนานหลายชั่วโมงเลยทีเดียว เป็นกลิ่นหอมที่ผสานกับกลิ่นผิวกายของผู้ใช้ ทำให้รู้สึกถึงบุคลิกของผู้ใช้ได้เป็นอย่างดี โดยปกติแล้วกลิ่นในขั้นนี้มักใช้กลิ่นแนว Musk, Woody หรือ อำพันเป็นส่วนประกอบ และมักติดผิวกายได้ มากกว่า 6 ชั่วโมงขึ้นไปและจะค่อยๆจางหายไปในที่สุด
MUSK มัสค์
Secretion from the male musk deer. Adds a sensual note to perfume
มัสค์ คือน้ำมันหอมที่ได้จากฮอร์โมนกวาง ด้วยคุณลักษณะที่คล้ายคลึงกับกลิ่นฟีโรโมนส์ของเพศชายมากที่สุด จึงดึงดูดอารมณ์ของเพศตรงข้าม และยังเป็นกลิ่นในช่วง Base Note หรือเป็นกลิ่นที่ติดทนนานที่สุด จึงมักใช้เป็นส่วนประกอบหนึ่งของน้ำหอม และยังช่วยในการจับกลิ่นเป็นอย่างดีอีกด้วย แต่เนื่องด้วยการรณรงค์เรื่องการอนุรักษ์สัตว์ ทำให้ กลิ่น Muskในปัจจุบันล้วนมาจากสังเคราะห์ขึ้นจากห้องทดลองแล้วทั้งสิ้น
DEB100 กับ DEB96
DEB หรือ DENATURE ETHANAL คือแอลกอฮอล์ประเภทหนึ่งที่ได้จากการกลั่น วัตถุดิบมาจากพืชผลทางการเกษตร เช่น อ้อย ข้าวโพด มันสำปะหลัง
กระบวน การกลั่นนี้จะได้แอลกอฮอร์ที่เรียกว่า Ethanal จากนั้นได้มีการเติมสารให้เกิดความขม (Denature)เพื่อป้องกันการนำไปทำเครื่องดื่มประเภพเหล้าต่างๆ จึงเรียกแฮลกอฮอล์ประเภทนี้ว่า DENATURE ETHANAL
DEB100 กับ DEB96 ต่างกันอย่างไร
DEB100 คือระดับการกลั่นที่ให้ความบริสุทธิ์ถึง 100% แอลกอฮอล์ที่ได้จึงมีคุณภาพสูงกลิ่นมีความนุ่ม ราคาก็สูงตามไปด้วย
DEB96 คือระดับการกลั่นที่ให้ความบริสุทธิ์ 96% แอลกอฮอล์ที่ได้จะมีความชื้นอยู่ 4% ส่วนราคาจะถูกกว่า DEB100 ในเรื่องคุณภาพนั้นจะแตกต่างจาก DEB100อยู่บ้าง ซึ่งสังเกตได้ยาก
***เมื่อผสมน้ำหอมกับแอลกอฮอล์แล้ว ควรหมักทิ้งไว้สักระยะเวลาหนึ่ง ประมาณ1อาทิตย์ขึ้นไป จะทำให้น้ำหอมนั้นลดความฉุนของแอลกอฮอล์ลง หรือกลิ่นกลมกล่อมขึ้นนั่นเอง
น้ำหนัก/ปริมาณ
1 ออนซ์เท่ากับเท่าไหร่
ประมาณ 29 ml ( 28.34 กรัม)
หัวน้ำหอม 1000 ml หนักเท่ากับ 1 kg หรือเปล่า
ไม่แน่นอนเสมอไป ขึ้นอยู่กับค่า Density ถ้ามีค่าเท่ากับ 1 แปลว่าปริมาตร 1000 mlจะเท่ากับ 1 KG
ส่วนแอลกอฮอร์มีค่า Density=0.81 ดังนั้นแอลกอฮอล์ 1000 ml จึงหนัก 0.81 KG
ความต่างระหว่าง ml. กับ cc.
cc ย่อมาจาก คิวบิคเซ็นหรือ cm^3
mL ย่อมาจาก มิลลิลิตร ,1L = 1000 cc ดังนั้น
1 mL = 1000 x 10^-3 cc = 1 cc
ดังนั้น 1mL = 1cc ค่ะ
สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง
ในการฉีดน้ำหอมให้ระวังพวกเครื่องประดับด้วย เนื่องจากมักจะมีปฏิกิริยาโดยตรงกับน้ำหอม และเห็นผลค่อนข้างชัด โดยเฉพาะพวก โลหะ ประเภท โรเดียม ส่วนพวก เพชร พลอย ไข่มุก ก็มีผลเช่นกัน คืออาจทำให้เกิดการหมองคล้ำได้
การ ใช้น้ำหอม หลายๆคนคงอยากจะให้กลิ่นหอมติดตัวนานที่สุด โดยเฉพาะหนุ่มสาวออฟฟิตที่ต้องออกไปพบลูกค้า ก็คงอยากให้กลิ่นหอม หอมนานจะถึงเวลากลับบ้านกันเลยทีเดียว วันนี้ผมมีเคล็ดที่ไม่ลับเอามาฝากให้ลองไปใช้กันดูครับ
ขั้นต้น ต้องทำความเข้าใจเสียใหม่ก่อนว่า การฉีดน้ำหอม 1 ครั้งไม่ได้หมายถึงน้ำหอมจะติดทนนานไปได้ทั้งวัน เพราะการติดทนนั้นจะขึ้นอยู่กับองค์ประกอบต่างๆมากมาย รวมถึงระดับของกลิ่นที่มีอยู่ถึง 3 ระดับในน้ำหอม เมื่อเวลาผ่านไปกลิ่นจะค่อยๆจางลง กลิ่นที่เหลืออยู่ก็จะเป็นแค่กลิ่นระดับล่างเท่านั้น ดังที่ผมเคยเขียนไว้ในบทความก่อนๆ ทางที่ดีควรฉีดเพิ่มเติมในระหว่างวันด้วย อาจจะวันละ 2-3 ครั้งก็ได้ ซึ่งวิธีนี้นอกจากจะเป็นการเติมกลิ่นหอมแล้ว ยังช่วยให้กลิ่นหอมดีขึ้นกว่าการปล่อยให้กลิ่นจางอีกด้วย
การเพิ่มการกระจายกลิ่นหอม แนะนำให้แต้มหรือฉีดน้ำหอมตามจุดชีพจรต่างๆ เช่น ด้านในข้อมือ ข้อศอก ข้อพับ ติ่งหู เป็นต้น ทั้งนี้เนื่องจากบริเวณดังกลาวเป็นจุดไหลเวียนโลหิต ที่มีการหดและขยายตัวตามจังหวะการเต้นของหัวใจ ทำให้บริเวณดังกล่าวเกิดความอบอุ่นเป็นพิเศษ และด้วยคุณสมบัติของน้ำหอมที่กระจายตัวได้ดีในอุณหภมิที่อุ่น ทำให้น้ำหอมถูกกระตุ้นให้หอมฟุ้งและในขณะเดียวกันก็เป็นการดูดซับความหอมไว้ ใต้ผิวหนัง เป็นที่มาว่าทำไมกลิ่นหอมจึงติดนานขึ้นนั่นเอง
การฉีดน้ำหอมไม่ควรถูบริเวณที่ฉีดน้ำหอม เพื่อให้ซึมเข้าสู่ผิว เพราะอุณภูมิที่เปลี่ยนแปลงแบบไม่สม่ำเสมอ และการเสียดสี มีผลโดยตรงต่อการเพี้ยนของกลิ่นน้ำหอม วิธีที่ดีที่สุดคือควรปล่อยให้น้ำหอมซึมเข้าสู่ผิวและแห้งเองตามธรรมชาติจะ ดีกว่า
ก่อนฉีดน้ำหอมควรทาครีม หรือ โลชั่น ก่อน เพราะจะทำให้ผิวหนังชุ่มชื้น ดูดซับน้ำหอมได้ดีกว่าผิวที่แห้ง แต่ควรจะต้องเป็นโลชั่นกลิ่นเดียวกับน้ำหอมนั้น หรืออาจจะเป็น Lotion Base ที่ไม่มีกลิ่นก็ได้
ควรฉีดน้ำหอมหลังจากอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ เนื่องจากสิ่งสกปรกอุดตันต่างๆได้ถูกกำจัดออกจากร่างกายและรูขุมขนต่างๆ ทำให้รูขุมขนของเราพร้อมรับน้ำหอมได้เต็มที่ แถมปราศจากสิ่งเจือปนที่ทำให้เกิดความผิดเพี้ยนของกลิ่นอีกด้วย
ควรฉีดน้ำหอมที่ผิวหนังโดยตรง ไม่ควรฉีดใส่เสื้อผ้า เพราะนอกจากเสื้อผ้าจะเสียแล้ว กลิ่นยังไม่ติดทนและการกระจายของกลิ่นก็ไม่ดีดีด้วย เนื่องจากน้ำหอมเมื่อทำปฏิกิริยากับผิวหนัง ซึ่งมีความร้อนอยู่ในตัวแล้วจะมีการกระจายตัวของกลิ่นเนื่องจากรูขุมขนขับ เหงื่อออกมา และน้ำหอมก้กระจายตัวออกมาพร้อมเหงื่อนั่นเอง
หากต้องการความหอมเพิ่มขึ้น ลองฉีดน้ำหอมใส่ผ้าเช็ดหน้าหรือทิชชู่แล้วพกไว้ในกระเป๋าเสื้อผ้าหรือ กระเป๋าถือก็ได้ วิธีนี้จะเป็นการเพิ่มพื้นที่ผิวสัมผัสของกลิ่น จากเดิมแค่บริเวณร่างกายเป็นบริเวณใกล้เคียงได้ด้วย
น้ำ หอมถือเป็นผลิตภัณฑฺ์ความงามประเภทหนึ่ง ซึ่งก็เหมือนทั่วๆไปที่มีการหมดอายุหรือเสื่อมสภาพตามกาลเวลาได้เหมือนกัน ทั้งคุณภาพของกลิ่นที่เปลี่ยนไป การติดทน หรือแม้แต่สีของน้ำหอมเอง วันนี้ผมมีเคล็ดลับง่ายๆ สำหรับการยืดอายุน้ำหอมให้สามารถใช้ได้นานขึ้นมาฝากกันครับ
หลีกเลี่ยงการเก็บในที่ร้อนหรือเย็นจัด สำหรับเรื่องความร้อน คงทราบกันดีอยู่แล้วว่ามีผลโดยตรงกับการเสื่อมสภาพของน้ำหอม รวมถึงความร้อนมีผลต่อความดันของแอลกอฮอล์ที่เป็นองค์ประกอบของน้ำหอม ทำให้น้ำหอมซึมออกจากขวด เลอะเทอะได้ สำหรับความเย็นหลายๆคนอาจจะสงสัยว่าแล้วความเย็นเกี่ยวข้องอะไรด้วย เพราะปกติก็มีแต่คนแนะนำให้เก็บในที่อากาศเย็น เช่นตู้เย็นด้วยซ้ำไป แต่คุณรู้ไหมว่า อุณหภูมิที่เย็นจัด ก็มีผลต่อการเสื่อมสภาพของน้ำหอม ทำให้น้ำหอมมีกลิ่นผิดเพี้ยนไปได้ ทั้งนี้อุณภูมิที่เหมาะในการเก็บน้ำหอมจริงๆควรจะเก็บไว้ในอุณหภูมิห้องที่ 27 องศาเซลเซียส แต่ถ้าจะเก็บในตู้เย็นอุณหูมิควรจะอยู่ระหว่าง 10-15 องศาเซลเซียสก็พอ
หลีกเสี่ยงการโดนแสงโดยตรง เพราะมีผลต่อน้ำหอมคือทำให้น้ำหอมเสื่อมสภาพ คุณภาพด้อยลง ดังนั้นจึงควรเก็บไว้ในที่มืดจะดีกว่า แต่ในกรณีที่ต้องโดนแสงก็ควรหลีกเสี่ยงการโดนแสงโดยตรง โดยอาจเก็บไว้ในกล่องหรือใช้บรรจุภัณฑ์สีชาหรือขวดที่ทึบแสงก็ได้
อย่าเก็บในที่ชื้น บางคนอาจคิดว่าเก็บในที่ชื้นๆ อากาศเย็นๆ เช่น วางไว้แถวอ่างล้างหน้า น่าจะดีเพราะไม่โดนแสง แถมอากาศไม่ร้อนอีกด้วย แต่ในความเป็นจริงแล้ว ในห้องน้ำและในที่ชื้น อากาศมักจะร้อนชื้น ไม่ได้เย็นสบายอย่างที่หลายคนเข้าใจ และอากาศแบบนี้เป็นปัจจัยที่ดีอย่างยิ่งในการเจริญและแพร่กระจายของเชื้อ แบคทีเรีย และเชื้อโรคต่างๆ ซึ่งอาจทำให้เกิดการปนเปื้อนในน้ำหอมและทำให้น้ำหอมเสื่อมสภาพได้เช่นกัน
เวลาใช้น้ำหอมเสร็จแล้วจะต้องปิดให้สนิททุกครั้ง การใช้น้ำหอมแล้วปิดฝาไม่สนิทหรือเปิดฝาทิ้งเอาไว้นอกจากจะทำให้น้ำหอมระเหย และหมดเร็ว เพราะ แอลกอออล์ซึ่งเป็นส่วนผสมหลักระเหยออกไปแล้ว ยังทำให้น้ำหอมซึมและเลอะเทอะได้ง่ายอีกด้วย
เมื่อพูดถึงการแพ้น้ำหอมในที่นี้
เราไม่ได้เฉพาะเจาะจงแค่น้ำหอมหลาก หลายยี่ห้อ แต่หมายรวมไปถึงสารให้กลิ่นหอมในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและเครื่องสำอาง ซึ่งได้กลายเป็นสาเหตุหลักของการแพ้เครื่องสำอาง ในปัจจุบัน
การแพ้น้ำหอมเกิดได้หลายสาเหตุ เช่น แพ้แอลกอฮอล์ซึ่งเป็นตัวช่วยระเหยน้ำมันหอม แพ้สารเคมีจากน้ำหอมสังเคราะห์ ในอุตสาหกรรมการผลิตมีการแบ่งเกรดน้ำหอมตาม ความเข้มข้นของน้ำมันหอมที่ถูกทำให้เจือจางด้วยแอลกอฮอล์ ยิ่งมีส่วนผสมของน้ำมันหอมน้อยยิ่งมีโอกาสในการแพ้สูง จึงควรอ่านฉลากก่อนซื้อ
1.Eau de Cologne หรือโคโลญจ์ มีส่วนผสมของน้ำมันหอมเพียง 3-5%
2.Eau de Toilette มีส่วนผสมของน้ำมันหอม 4-8%
3.Eau de Parfum มีส่วนผสมของน้ำมันหอม 15-18%
4.Extra Parfum หรือ Parfum ผสมหัวน้ำมันหอมประมาณ 22-36% เป็นน้ำหอมที่มีระดับความเข้มข้นสูง ปริมาณของส่วนผสมของแอลกอฮอล์ลดลงอย่างมากจึงทำให้กลิ่นมีความนุ่มและทนขึ้นมาก
5.Perfume Gentle มีส่วนผสมของน้ำมันหอมใกล้เคียงกับ Eau de Parfum แต่สกัดสารที่ทำให้แพ้ออก มีราคาสูงกว่า Eau de Parfum ประมาณ 5 เท่า
6.Parfum Fraction มีส่วนผสมของน้ำมันหอมที่สกัดจากธรรมชาติ 100% จึงมีราคาสูงที่สุดและไม่ทำให้เกิดอาการแพ้
คุณมีอาการเหล่านี้..หรือไม่
คนทั่วไปมักเข้าใจว่าการจามหรือโรคทางระบบหายใจบอกถึงอาการแพ้น้ำหอม แต่ความจริงแล้วการแพ้นั้นมีหลากหลายจนเราอาจคิดไม่ถึงว่าเกิดจากน้ำหอม
คันตามผิวหนัง
มักเกิดบริเวณที่แต้มน้ำหอม เช่น กกหู ต้นคอ ข้อพับ ป้องกันได้ด้วย การทดลองแต้มน้ำหอมในบริเวณท้องแขนทิ้งไว้ประมาณ 2 ชั่วโมง ก่อนซื้อ
ใบหน้าเป็นสิว
เกิดจากสารเคมีหรือส่วนประกอบในน้ำหอมเข้าไปอุดตันรูขุมขนทำให้ อักเสบ มักพบเมื่อใช้น้ำหอมหรือเครื่องสำอางประมาณ 1 เดือนขึ้นไป วิธีแก้คือหยุดใช้ทันที และเลือกผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอมแทน
ผื่นแพ้
ในกรณีของคนที่มีอาหารแพ้มากอาจพบลักษณะตุ่มน้ำใส หรือเป็นหนอง อาการนี้พบได้ไม่บ่อยนัก
รอยด่างดำบริเวณที่แต้มน้ำหอม
รอยนี้จะเกิดขึ้นเมื่อถูกแสงแดด เพราะน้ำหอมจะดูด ซับรังสีอัลตร้าไวโอเลตจนเกิดรอยด่างดำลักษณะคล้ายฝ้า รักษาให้หายได้โดยใช้ยาทา
ระคายเคืองตาและเยื่อบุจมูก
เกิดจากการฉีดสเปรย์น้ำหอม วิธีแก้คือให้ฉีดน้ำหอมใน ต่ำกว่าระดับไหล่และห่างจากตัวประมาณ 30 เซนติเมตร เพื่อป้องกันการระคายเคือง แล้วยังไม่ทำให้เกิดรอยด่างบนเสื้อผ้า แต่ถ้ายังไม่ดีขึ้นให้ใช้การแต้มน้ำหอมตรงจุดชีพจร ข้อพับ ไหปลาร้า หลังอาบน้ำใหม่ๆ แทนการฉีดสเปรย์ วิธีนี้ทำให้กลิ่นติดทนนานขึ้นด้วย
SICK HOUSE SYNDROME
โรคนี้เกิดจากมลภาวะภายในบ้าน เช่น ฝุ่นละออง สีทาบ้าน กลิ่นบุหรี่ แม้กระทั่งกลิ่นน้ำหอม ทำให้ปวดศีรษะเรื้อรัง และในระยะยาวอาจส่งผลเสียต่อปอดได้
ทำอย่างไรเมื่อแพ้น้ำหอม
หยุดการใช้น้ำหอมหรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำหอมนั้น ทันที หลังจากนั้นสังเกตดูว่ามีอาการแพ้ลุกลามมากขึ้นหรือไม่ โดยมากมักจะหายภายใน 7-10 วัน แต่หากมีอาการรุนแรงควรรีบปรึกษาแพทย์
หาก เป็นผื่นแดง หรือเป็นตุ่มบวม หรือเป็นตุ่มน้ำใสมีน้ำเหลืองซึมออกมา ควรทำความสะอาดแผลและใส่ยาฆ่าเชื้อ เพื่อป้องกันการอักเสบเป็นหนอง และควรไปพบแพทย์เพื่อให้ตรวจดูว่าเป็นอาการที่เกิดขึ้นจากการแพ้เครื่อง สำอางหรือไม่
สำหรับคนแพ้มากถึงขนาดน้ำหอมสัมผัสผิวโดยตรงไม่ได้ อาจใช้วิธีฉีดน้ำหอมใส่ผ้าเช็ดหน้าแล้วพกใส่กระเป๋าเสื้อหรือกางเกงแทนก็ได้ความหอมไม่แพ้กัน